แอสตัน มาร์ติน ขายหุ้นของพวกเขาใน F1 เพราะอะไร?
ท่ามกลางกระแส ดราม่าของเซอร์ลูอิส แฮมิลตัน ที่ตัดพ้อถึงความไร้ค่าของตัวเอง ต่อเนื่องไปถึงการปรากฏตัวของคุณลุง ‘Hide the Pain Harold’ ลากยาวไปจนการคว้าชัยของ แลนโด นอร์ริส และทีม แม็คลาเรน (อีกแล้ว) ทำให้ F1 ฮังกาเรียนกรังด์ปรีซ์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดข่าวสารและเรื่องราวมากมาย
เรื่องราวมากมายเหล่านั้น กลบข่าวการขายหุ้นของ แอสตัน มาร์ติน ที่เคยลงทุนเอาไว้ใน F1 ให้เบาบางและจางลงไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในวงการ F1 แต่อย่างใด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราอาจจะต้องปูพื้นกันสักหน่อย สถานการณ์ปัจจุบันของ แอสตัน มาร์ติน มีความซับซ้อนพอสมควร จะต้องแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างความเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ อย่าง แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา หรือ AML และทีม แอสตัน มาร์ติน F1
หากกล่าวโดยสรุปของเรื่องที่เกิดขึ้น อาจจะกล่าวได้ว่า AML ซึ่งถือหุ้นส่วนน้อยในทีม แอสตัน มาร์ติน F1 ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และจำเป็นต้องขายหุ้นส่วนดังกล่าว เพื่อนำเงินมาใช้ฟื้นฟูสภาพคล่องในบริษัท
สาเหตุในเรื่องนี้ เกิดขึ้นมาจาก การคาดการณ์ผลกำไรที่ล่าช้า อันเป็นผลกระทบมาจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความต้องการที่ลดลงในจีน ซึ่งกำลังให้ความสนใจในรถ EV อย่างมาก ส่งผลให้ บริษัท อาจจะต้องรอถึงปลายปี 2025 กว่าจะมีกำไร และทำให้ AML ขาดสภาพคล่อง
เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มูลค่าบริษัทลดลง และต้องดำเนินมาตรการลดต้นทุน โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงต้นทุนวัสดุ แต่ก็อาจจะไม่ทันการณ์ โดยมีการคาดว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ได้ไม่เร็วกว่าปี 2027 หรือหลังจากนั้น
นั่นนำมาสู่การที่ AML ต้องการเงินก้อน เพื่อมาพยุงสภาพคล่องของบริษัท และตัดสินใจขายหุ้นของ แอสตัน มาร์ติน F1 ที่ แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา หรือ AML ถือไว้ทั้งหมดราว 4.6%
ตัวเลขหุ้นของทีม แอสตัน มาร์ติน F1 ที่ AML ถือเอาไว้นั้น น้อยกว่าที่ใครหลายคนคาดคิด แต่นั่นก็สามารถทำเงินได้ถึง 146 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4,733 ล้านบาท ซึ่งมากพอที่จะช่วยพยุงสภาพคล่องในบริษัทได้
ต้องทำความเข้าใจว่า แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา หรือ AML ไม่เคยเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ ของทีม แอสตัน มาร์ติน F1 และทีมนี้ก็ไม่ใช่ “ทีมของแอสตัน มาร์ติน” ในลักษณะเดียวกับ ทีมเมอร์เซเดส, เฟอร์รารี หรือ อัลปีน
และแม้ว่า AML จะไม่มีหุ้นในทีม แอสตัน มาร์ติน F1 เหลือแล้วก็ตาม แต่ทีมจะยังคงใช้ชื่อ “Aston Martin Aramco Formula One Team” ต่อไป เนื่องจากมีข้อตกลงระยะยาวระหว่าง แบรนด์ แอสตัน มาร์ติน กับทีมนี้ในศึก F1 ที่มีสถานะเป็นเหมือน พันธมิตรด้านชื่อทีมหลัก (glorified title partner)
ขณะเดียวกัน การถอยออกไปของ AML ยังทำให้กลุ่มทุน Yaw Tree Investments ของ ลอว์เรนซ์ สโตรลล์ กำลังจะเพิ่มสัดส่วนการเป็นเจ้าของจาก 27.67% เป็น 33% ด้วย
แม้การขายหุ้นของ AML จะได้เงินในตัวเลขมหาศาล แต่ทีมแอสตัน มาร์ติน F1 ได้รับการประเมินมูลค่าสูงถึง 3.2 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 103,000 ล้านบาท โดยมูลค่าของทีมเพิ่มขึ้นประมาณ 23% ในเวลาเพียงปีเศษ และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
การขายหุ้นครั้งนี้ของ AML จึงถูกมองว่าเป็นการขาดทุนในระยะยาว โดยเฉพาะในปี 2026 ที่ F1 จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎใหม่หลายข้อ และทางทีม แอสตัน มาร์ติน F1 ก็ลงทุนไปกับโปรเจกต์นี้มากมาย โดยเฉพาะการสร้างอุโมงค์ลมใหม่ และการลงทุนจ้าง เอเดรียน นิวอีย์ มาร่วมทีม เพื่อออกแบบรถที่จะใช้ในปีหน้าโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ แม้จะไม่มีการถือหุ้น แต่แบรนด์ แอสตัน มาร์ติน ก็ เชื่อมโยงกับทีม F1 อย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะในเชิงการตลาดและเชิงพาณิชย์
นั่นหมายความว่า สำหรับแฟนๆ ทีม แอสตัน มาร์ติน F1 การที่ AML ขายหุ้นในทีม F1 นั้น เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทแม่ที่กำลังเผชิญความท้าทาย แต่การตัดสินใจครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะและอนาคตของทีม แอสตัน มาร์ติน F1 ซึ่งยังคงแข็งแกร่งและมีมูลค่าสูงภายใต้การนำของ ลอว์เรนซ์ สโตรลล์ อย่างแน่นอน
อ้างอิง
- https://www.the-race.com/formula-1/aston-martin-selling-f1-team-shares-what-it-really-means/
- https://www.motor1.com/news/767720/aston-martin-might-sell-f1-team-and-go-private/
- https://www.motorsport.com/f1/news/aston-martin-f1-team-hits-32billion-valuation-in-latest-stake-sale/10746874/
- https://www.sportsbusinessjournal.com/Articles/2025/07/30/aston-martin-f1-valued-at-32b-in-latest-sale-amid-surging-investor-interest/