ไขปม‘แพทองธาร’ชิงลาออก คดีคลิปเสียงทางเลือก ‘ทาง(ไม่)รอด’?
ย่างเข้าสู่กลางเดือนส.ค.“คอการเมือง”ต่างจดจ่อ รอลุ้นชะตากรรมของผู้นำประเทศ ในคดี “คลิปเสียง”สนทนาระหว่าง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ “อังเคิลฮุน เซน” ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2568 สถานะจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)หรือไม่
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลในฝั่งผู้ถูกร้องในวันที่ 21 ส.ค.2568 นี้ ก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 29 ส.ค.2568
กระแสข่าว“แพทองธาร”อาจชิงลาออกก่อนศาลจะมีคำวินิจฉัยถูกพูดถึงหนาหูในเวลานี้ จับอาการจากที่“นายกฯอิ๊ง” ลาประชุมคณะรัฐมนตรี 2 สัปดาห์ติดต่อกัน
จริงอยู่ แม้ประเด็นนี้จะมีการวิเคราะห์ว่า อาจเป็น“ทางรอด”ของแพทองธาร ที่จะทำให้ศาลจำหน่ายคดี เหมือนกรณีของ “พิชิต ชื่นบาน” อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ชิงลาออกก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในประเด็นคุณสมบัติเช่นเดียวกัน
แต่อย่าลืมว่า กรณี“พิชิต”มีความต่างกับกรณีของ“แพทองธาร” ตรงที่กระบวนการขณะนั้น ยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่ง โดย“พิชิต”ลาออกก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติ“รับคำร้อง” ไม่ใช่ระหว่างการพิจารณาคดีเหมือนกรณีของ“แพทองธาร” ที่เวลานี้ ล่วงเลยมาถึงการพิจารณา 2 นัดสุดท้าย
ไล่เรียงไทม์ไลน์ชัดๆ “พิชิต”ลาออกวันที่ 21พ.ค.2567 ก่อนที่ต่อมาอีก 2 วันศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติในวันที่ 23 พ.ค.2567 “รับคำร้อง”กรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ“เศรษฐา ทวีสิน”นายกรัฐมนตรี และ“พิชิต”สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(4) และ(5) หรือไม่
ในการพิจารณาวันเดียวกัน ศาลมีมติ “ไม่รับคำร้อง” ในส่วนของ “พิชิต”ผู้ถูกร้องที่ 2 โดยให้เหตุผลว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2567 ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (2) กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป
ฉะนั้นในกรณีของ“แพทองธาร” หากมีการลาออกก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัย ถึงที่สุดอาจไม่ได้เป็นเหตุให้ศาลจำหน่ายคดีเหมือนกรณีพิชิต
โดยในมุมนักกฎหมาย ตีความกรณีของแพทองธารว่า แม้จะไม่มีสถานะแล้ว แต่มีผลทางกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญย่อมวินิจฉัย
เหนือไปกว่านั้น กรณีของ“แพทองธาร”ยังต่างกับกรณีของ“พิชิต” ที่อาจ“ไม่หลุดบ่วง” ตรงที่ยังมีคำร้องในคดีเดียวกัน ที่ถูกยื่นคู่ขนานอยู่ในส่วนของการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในข้อกล่าวหาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
คำร้องดังกล่าวป.ป.ช.มีมติ “รับสอบ” ไปเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2568 ซึ่งตามกระบวนการ “สาโรจน์ พึงรําพรรณ” เลขาธิการป.ป.ช. อธิบายว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการรับมาตรวจสอบ หากมีประเด็น หรือรายละเอียดที่ต้องตรวจสอบไม่มาก อาจใช้เวลาไม่นาน แต่หากรายละเอียดมาก ส่วนใหญ่เป็นกรอบระยะเวลาทั่วไป หากไม่แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ก็จะต้องรายงานกลับมาว่า มีข้อติดขัดอย่างไร
ไหนจะ“คดีโยกงบฯ” ซึ่งป.ป.ช.มีมติรับคำร้องกรณี โยกงบฯธนาคารรัฐวงเงิน 35,000 ล้านบาท ไปใส่ไว้ในงบฯกลางเพื่ออาจจะนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่อาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144
ฉะนั้น ท่ามกลางคดีความต่างๆ ที่ยังค้างคา ต่อให้“นายกฯอิ๊งค์”จะชิงลาออก แต่คำร้องอื่นๆ ไม่ได้สะดุดหยุดลงตามไปด้วย
เป็นเช่นนี้จึงต้องจับตาฉากทัศน์ภายใต้นิติสงคราม ที่“แพทองธาร”กำลังเผชิญวิบากรรม ในคดีคลิปเสียงอยู่ในเวลานี้ ถือว่า 50 : 50
โอกาสที่คำวินิจฉัยจะ“เป็นบวก” คือ“นายกฯแพทองธาร”ไม่สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังมี หากเกมออกหน้านี้ รัฐบาลก็จะเดินหน้าบริหารประเทศต่อไป ท่ามกลางสารพัดโจทย์ใหญ่ที่รอสะสาง
ทว่าหากผล“เป็นลบ” คือ ศาลวินิจฉัยให้“แพทองธาร”สิ้นสถานะนายกรัฐมนตรี การเมืองก็จะเข้าสู่“จุดพลิกผัน” ผลที่จะตามมา คือ กระบวนการเลือกนายกฯ คนใหม่
โดยขณะนี้มีรายชื่อที่อยู่ในบัญชีพรรคการเมือง ประกอบด้วย ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ และจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากพรรคประชาธิปัตย์
ต้องจับตา ภายใต้สภาวะที่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เห็นได้ชัดจากผลโหวตงบประมาณซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ แต่กลับพบว่ามีเสียงเกินกึ่งหนึ่งมาไม่มาก ไม่ต่างจากชื่อของ “ชัยเกษม” ที่ถูกพูดถึงภายใต้เกมดุลอำนาจเพื่อไทย ที่ไม่ต้องการให้อำนาจเปลี่ยนมือ
ยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สูตรจับขั้วรัฐบาลในเวอร์ชั่นใหม่ ถูกโยนหินออกมา ทั้งกระแสข่าวที่ว่า ชื่อนายกฯ อาจข้ามไปที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ภายใต้สัญญาณรัฐพันลึก ที่อาจกำลังก่อตัวอีกครั้ง
หรือแม้แต่ข่าวคราวการ“ยุบสภา” ซึ่งถูกโยนหินออกมาเป็นระยะ ก็ยังถือเป็นชอยส์ที่ตัดทิ้งไม่ได้เช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลย่อมเป็นการตอกย้ำถึงฉากการเมือง ที่อาจกำลังเข้าสู่“จุดหักเห”สำคัญ ส่วนเกมจะออกหน้าไหน เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะได้รู้กัน