โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

รู้แล้ว ทำไมไม่ควรกิน "น้ำตาล" เกิน 6ช้อนชา ต่อวัน เตือน สำคัญมาก

TNews

อัพเดต 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า

หลายคนเวลาได้ยินว่า “อย่ากินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา หรือประมาณ 24 กรัมต่อวัน” ก็มักจะสงสัยว่า
6 ช้อนชานี่มันทำไมสำคัญนัก? เกินแล้วเป็นอะไรได้จริงเหรอ?
จริง ๆ แล้วคำแนะนำนี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกหรือความเชื่อ แต่เป็นเพราะในร่างกายเรามีกลไกการจัดการน้ำตาลที่ชัดเจน และถ้าเกิน “ขีดจำกัด” ที่ร่างกายรับได้ มันจะเริ่มทำให้ระบบพังลงทีละน้อย

1. น้ำตาลดูดซึมไวเหมือนรถไฟด่วน
น้ำตาลที่เรากิน ไม่ว่าจะมาจากน้ำอัดลม ขนมหวาน หรือแม้แต่น้ำผลไม้คั้นสด มันเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวหรือคู่
ร่างกายแทบไม่ต้องเสียเวลาย่อยเลย
พอเข้าลำไส้ก็ซึมเข้ากระแสเลือดได้ทันที
ผลลัพธ์คือ น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเร็วมาก
ร่างกายเลยต้องรีบปล่อยฮอร์โมน “อินซูลิน” ออกมาเพื่อกดน้ำตาลให้ลง และพาน้ำตาลเข้าไปในเซลล์
•ถ้ากินพอดี → ทุกอย่างก็สมดุล
•ถ้ากินบ่อย ๆ → น้ำตาลขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะ อินซูลินต้องทำงานหนักตลอดเวลา
นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ครับ

2. อินซูลินเหนื่อย = เสี่ยงเบาหวาน
อินซูลินคือกุญแจที่ไขประตูให้กลูโคสเข้าเซลล์ไปใช้เป็นพลังงาน
แต่ถ้าเรากินน้ำตาลบ่อยเกินไป อินซูลินต้องหลั่งถี่และเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
พอนานวันเข้า เซลล์ในร่างกายเริ่ม “ไม่สนใจ” อินซูลิน → ภาวะนี้เราเรียกว่า ดื้อต่ออินซูลิน
ตับอ่อนเลยต้องทำงานหนักขึ้นอีกเพื่อผลิตอินซูลินเพิ่ม จนสุดท้ายมันล้า และนี่คือ เบาหวานชนิดที่ 2 ที่คนไทยเจอกันเยอะมาก

3. ฟรุกโตส ตัวร้ายเงียบที่ตับ
น้ำตาลในโลกไม่ได้มีแต่กลูโคสนะครับ น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ มักมีฟรุกโตสเยอะมาก
ต่างจากกลูโคสที่ร่างกายใช้ได้ทันที ฟรุกโตสต้องเข้าไปที่ ตับ ก่อน แล้วค่อยแปรสภาพ → ซึ่งตับไม่ได้เก่งเรื่องเก็บฟรุกโตสไว้ใช้ แต่เก่งเรื่อง “เปลี่ยนเป็นไขมัน”
พอกินบ่อย ๆ ฟรุกโตสจะถูกเปลี่ยนเป็น ไขมันไตรกลีเซอไรด์ แล้วไปสะสมในตับ จนเกิดโรคที่เรียกว่า ไขมันพอกตับ (NAFLD)
นี่แหละครับที่เราเห็นบ่อย ๆ คนผอม ไม่ดื่มเหล้า แต่ตับมีไขมันเต็มไปหมด พอสืบดี ๆ ที่มาคือ “น้ำหวาน” นี่เอง

4. น้ำตาลกับหลอดเลือดหัวใจ
ไม่ใช่แค่ทำให้อ้วนกับตับพัง แต่น้ำตาลยังทำให้ ไขมันในเลือดเสียสมดุล
•ไตรกลีเซอไรด์สูง
•HDL (ไขมันดี)
•ต่ำLDL
ทั้งหมดนี้คือสูตรสำเร็จของโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่อาจแสดงออกเป็นหัวใจวายหรืออัมพาตได้ในอนาคต

5. น้ำตาลกับการอักเสบเรื้อรัง
น้ำตาลส่วนเกินจะไปทำให้เซลล์ไขมันขยายใหญ่ขึ้น และพอเซลล์ไขมันขยายเกินไป มันจะปล่อยสารกระตุ้นการอักเสบ (เช่น TNF-α, IL-6) ออกมา
แปลว่าถ้าเรากินหวานเกิน ร่างกายจะเหมือนมี “ไฟเล็ก ๆ ที่คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา” การอักเสบระดับต่ำแบบนี้เป็นต้นเหตุของโรคเรื้อรังเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน หลอดเลือด หัวใจ ไปจนถึงมะเร็งบางชนิด

6.แล้วทำไม 6 ช้อนชามันเกินง่ายจัง?
เพราะน้ำตาลมันซ่อนอยู่ทุกที่ครับ ไม่ใช่แค่ที่เราตักใส่เอง
•น้ำอัดลม 1 กระป๋อง = 7–8 ช้อนชา
•ชานมไข่มุก 1 แก้ว = 10–12 ช้อนชา
•เค้ก 1 ชิ้น = 4–5 ช้อนชา
•น้ำผลไม้กล่อง 1 กล่อง = 5–6 ช้อนชา
บางคนบอกไม่กินหวานเยอะ แต่ถ้าวันหนึ่งมีชานม 1 แก้ว + ขนมเค้ก 1 ชิ้น = เกินไปเกือบ 3 เท่าแล้ว
และที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ความต้องการน้ำตาลต่อวันจริง ๆ ไม่เท่ากันสำหรับทุกคน
•เด็กเล็กและวัยรุ่น จริงอยู่ที่เด็กใช้พลังงานเยอะกว่าผู้ใหญ่ แต่ร่างกายยังไวต่อความหวานมากกว่า การได้รับน้ำตาลเกินทำให้เสี่ยงอ้วน ฟันผุ และที่น่ากลัวคือ “ติดรสหวาน” ตั้งแต่ยังเล็ก เพราะฉะนั้นปริมาณที่เหมาะสมจริง ๆ สำหรับเด็กควรอยู่แค่ราว ๆ 4 ช้อนชา/วันก็เพียงพอแล้ว
•ผู้ใหญ่ทั่วไป ที่เราอ้างอิงกันว่าไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา/วัน มาจากการคำนวณพลังงานเฉลี่ย 2,000 แคลอรี ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของผู้ใหญ่ทั่วไป แต่ถ้าใครใช้พลังงานน้อยกว่านี้จริง ๆ ความต้องการน้ำตาลก็ยิ่งควรต่ำลงไปอีก
•ผู้สูงอายุ ระบบเผาผลาญและการใช้พลังงานจะช้าลงกว่าเดิมเยอะ ถ้าได้หวานเท่า ๆ กับตอนเป็นวัยรุ่นหรือวัยทำงาน ร่างกายจะจัดการไม่ทันและสะสมง่ายมาก ดังนั้นจริง ๆ แล้วผู้สูงอายุควรอยู่ที่ประมาณ 4 ช้อนชา/วัน หรือน้อยกว่านั้นก็ยิ่งดี
•ผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่างเบาหวาน ความดัน หรือไขมันในเลือดสูง ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะทุกกรัมของน้ำตาลส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและหลอดเลือดโดยตรง สำหรับกลุ่มนี้ควรจะต่ำกว่า 4 ช้อนชา/วัน ถึงจะช่วยควบคุมโรคและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนได้จริง
เพราะฉะนั้น “6 ช้อนชา” ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ จริง ๆ แล้วเป็นเพียงเพดานสูงสุดของผู้ใหญ่ที่สุขภาพปกติเท่านั้น แต่ในชีวิตจริง หลายกลุ่มควรจะต่ำกว่านี้อีกมาก เพื่อให้ร่างกายจัดการได้อย่างปลอดภัยครับ

7.วิธีลดแบบไม่ทรมาน
1.เปลี่ยนน้ำอัดลมเป็นน้ำเปล่า หรือชาไม่หวาน
2.ค่อย ๆ ลด ไม่ต้องหักดิบ เช่น กาแฟใส่น้ำตาลจาก 2 ช้อน → เหลือ 1 ช้อน → สุดท้ายไม่ใส่เลย
3.อ่านฉลากอาหาร → จำง่าย ๆ 4 กรัม = 1 ช้อนชา
4.ฝึกลิ้นให้ชินกับรสธรรมชาติ → ยิ่งกินหวานบ่อย ๆ จะยิ่งติดหวาน
การจำกัดน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน ไม่ใช่กฎตายตัวที่ห้ามเกินแม้แต่นิด แต่เป็น “เส้นแบ่งที่ปลอดภัยกว่า” เพราะถ้าเกินไปบ่อย ๆ กลไกในร่างกายจะเริ่มรวน ตั้งแต่ตับ อินซูลิน หลอดเลือด ไปจนถึงการอักเสบทั้งระบบ
เริ่มจากลดง่าย ๆ วันละนิด พอทำต่อเนื่อง ร่างกายจะเบาลง สุขภาพก็ดีขึ้นแบบไม่ต้องใช้ยาเลยครับ
ใครมรคำถามคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNews

รู้จัก "วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น" เมื่อถูกงูกัด เตรียมรับมือภัยร้ายใกล้ตัว

53 นาทีที่แล้ว

ครม.ทุ่มงบ 45,000 ล้านบาท ช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท ได้ทั้งผู้ปลูกข้าวนาปี-นาปรัง

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

3 ราศีโชคใหญ่กำลังมา เตรียมตัวรับสิ่งดีๆ ที่กำลังใกล้เข้ามา

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สลดหนัก นิติคอนโดสาวโหด ควงแฟนหนุ่มรุมยำลูกบ้านเสียชีวิต

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

เปิดเวทีปฐมนิเทศ ปตร.น้ำป่าแขม พะเยา ลุยพัฒนาระบบจัดการน้ำลุ่มน้ำยม

สยามรัฐ

สหรัฐฯ เตือนประชาชน ระวังกุ้งปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี

SpringNews

สภาพอากาศวันพรุ่งนี้ เตือน 40 จังหวัดยังมีฝนฟ้าคะนอง กทม.ฝนฉ่ำช่วงบ่ายถึงค่ำ

The Bangkok Insight

วอนนักดำน้ำอย่าเคลื่อนย้าย “เครื่องรับสัญญาณเสียง” 20 จุดอ่าวพังงา หลังใช้ติดตามฉลาม

Manager Online

‘Prince of Eurasia’ สารคดีโลกวัฒนธรรมยูเรเซียของนักบวชอิสลาม “ท่านอิสลามมีร์ซา”

สยามรัฐ

หนุ่มไม่ถือสาทัวร์ลง โพสต์ขายเตียงของยายที่เสียชีวิตแล้ว ยืนยันเตียงซื้อมาเอง

Khaosod

ราชดำเนินเสวนาเปิดมิติ "สงครามข่าวสาร" ไทย–กัมพูชา ชี้ความจริงคืออาวุธสำคัญ พลิกสถานการณ์ได้แม้ออกมาช้า

The Better

พจนานุกรมเคมบริดจ์เพิ่มศัพท์ Gen Alpha "สกิบิดี้" และ "เดลูลู"

SpringNews

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...