ราชดำเนินเสวนาเปิดมิติ "สงครามข่าวสาร" ไทย–กัมพูชา ชี้ความจริงคืออาวุธสำคัญ พลิกสถานการณ์ได้แม้ออกมาช้า
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ราชดำเนินเสวนา “หัวข้อสมรภูมิข่าวสารในวิกฤตความขัดแย้งไทย-กัมพูชา”
สงครามข่าวสาร: มิติใหม่ของความขัดแย้ง
โดยพล.ต.ธีรวุฒิ วิทยากรรองเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวตอนหนึ่งว่า การสู้รบปัจจุบันมี 1. รบกันด้วยอาวุธ 2. สงครามข่าวสาร รวมถึงสงครามไซเบอร์ อย่างการปะทะกันระหว่างไทย – กัมพูชา ซึ่งเริ่มเมื่อเดือน ก.ค. 2568 แต่จริงๆ มีการโจมตีกันทางไซเบอร์มาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งระบบ DDoS เปลี่ยนหน้าเฟสบุ๊ค เว็บไซต์ต่างๆ ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ทางเราก็พยายามแก้ไข ส่วนเรื่องการนำเสนอข่าวของสื่อนั้นมีทั้งข้อดี ข้อเสีย โดยข้อดีของสื่อไทยคือ 1. สื่อไทยค่อนข้างระวังความมั่นคง 2. มนุษยธรรม 3.ช่วยตรวจสอบข้อมูลเท็จ 4. ให้ความร่วมมือเมื่อหน่วยงานขอความร่วมมือ ส่วนข้อเสียคือ 1. หลุดนำเสนอข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์แน่ชัด 2. คลิกเบ็ต จึงอยากให้ปรับปรุง 3. การสื่อสารความขัดแย้งทางการเมืองภายใน ซึ่งส่งผลเสียระหว่างประเทศ
พล.ต.ธีรวุฒิ กล่าวต่อว่า ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยข่าวสาร และข่าวเท็จ ควรใช้คอนเซ็ปต์ซีโร้ทรัสต์ หรือ การเชื่อเป็นศูนย์ ข้อมูลที่ได้มารับฟังได้ แต่การจะนำไปใช้ต่อต้องมีการตรวจสอบ เราอยากเห็นสื่อไทยเป็นมืออาชีพและช่วยกันแก้ไขปัญหา ร่วมกันสื่อสารความจริง สื่อให้เห็นถึงปฏิบัติการทางทหารของไทยที่เป็นการตอบโต้ภัยคุกคามอย่างเหมาะสม และได้สัดส่วน เพราะการนำเสนอข้อมูลจริงนั้น แม้ว่าจะออกมาช้ากว่า แต่สุดท้าย คนที่วิเคราะห์ด้วยเหตุผล ข้อเท็จจริง ก็จะทำให้ไทยชนะ
บทบาทสื่อและความท้าทายในการสื่อสาร
ดร.ชำนาญ นางมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ในฐานะของกองทุนพัฒนาสื่อเราห่วงใยปัญหาข้อมูลเท็จ ซึ่งส่งผลกระทบเรื่องความมั่นคงของประเทศ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชน นับเป็น New Normal ที่เราต้องปรับตัว ทำความเข้าใจ สร้างภูมิคุ้มกันในการคัดกรองข่าวสาร วิเคราะห์ แยกแยะได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ส่วนอินฟลูเอ็นเซอร์นั้นต้องยอมรับว่าเราไม่มีอำนาจไปกำกับ แต่ที่ผ่านมาก็ทำงานร่วมกันเยอะเรื่องส่งเสริมการรู้เท่าทัน การสร้างความเกลีใยดชัง ส่วนการสื่อสารในภาวะวิกฤติก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำงานร่วมกัน ย้ำว่า เรื่องการสื่อสารสำคัญ ต้องหลากหลาย มีเสรีภาพ เพราะสื่อถือเป็นเสาที่ 4 ของสังคม แต่ยามวิกฤติต้องมีการกำหนดว่าจะสื่อสารอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคงของประเทศ ด้วยข้อมูลความจริง จะทำอย่างไรที่จะสื่อสารให้ประชาชนกัมพูชาทราบด้วยว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากคนไม่กี่คนในกัมพูชา ให้ชาวกัมพูชาเห็นว่า รัฐบาลเขามีการสื่อสารเท็จแค่ไหน คนบางส่วนในรัฐบาลสื่อสารไม่ถูกต้องแค่ไหน เราต้องไม่ทำให้เกิดความรังเกียจระหว่างประชาชน เกิดความชังเชื้อชาติ สิ่งที่จะวัดความสำเร็จขอวการสื่อสารด้วยความจริง นอกจากการที่เราไม่เสียดินแดนที่เป็นขอเราแล้ว คือ การทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ เกิดการค้าร่วมกัน สัมพันธ์ชายแดนกลับมาเป็นเหมือนเดิม เราสามารถสร้างความชอบธรรมในเวทีนานาชาติ และป้องกันขัดแย้งพรมแดนในอนาคตได้
นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผอ.สำนักข่าวไทยพีบีเอส กล่าวว่า การทำงานของสื่อกัมพูชาถูกกำกับโดยรัฐบาลชัดเจน ทำให้ข่าวสารมีเอกภาพมากเป็นไปเพื่อประโยชน์ในสงครามไฮบริจด์ ส่วนสื่อไทยให้ควรามร่วมมือกับทางการเยอะโดยเฉพาะการไม่เปิดเผยที่ตั้ง ความเคลื่อนไหวทางทหาร ตลอดที่หลบภัยของชาวบ้าน แต่ก็ยังมีสิ่งที่สื่อต้องเรียนรู้อีกมาก อย่างการถ่ายภาพจากมือถือ แม้เป็นมุมแคบก็ยังสามารถระบุที่ตั้งของพื้นที่ได้ รวมถึงการสื่อสารที่จะทำให้นานาประเทศที่มองอยู่รู้และใจว่าประเทศไทยไม่ได้กระหายสงคราม แต่เราตอบโต้ภัยคุกคามอย่างเหมาะสมได้สัดส่วน แสดงให้เห็นว่า กัมพูชามีการเคลื่อนกำลังพล อาวุธเข้ามาประชิด มีการใช้ประชาชนมาสร้างอำนาจต่อรอง ทำให้เกิดการสูญเสีย ความสัมพันธ์ที่ดีของชาวบ้าน 2 ฝั่งเลวร้ายลง สื่อต้องไม่สร้างความเกลียดชังเพิ่ม ช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมที่ทำได้
“การสู้รบนอกจากการทหารแล้ว ยังมีสงครามจิตวิทยา ซึ่งมี 3 อย่าง 1. ประชาสัมพันธ์ว่ารากำลังทำอะไร และแสดงมนุษยธรรม 2. ปฏิบัติการจิตวิทยา ท้าทายก็ว่ากันไป 3. การโฆษณาชวนเชื่อ กลับประเทศแล้วไม่มีงานทำ อดตาย ซึ่ง 3 ประเด็นนี้สื่อจะใช้แบบไหนถึงจะเป็นเอกภาพ คิดว่าการแสวงหาข้อตกลงใจทางทหาร ความมั่นคง ต้องมีมติ ข้อตกลงใจทางด้านข่าวสารว่า จะใช้อะไร เวลาใด ซึ่งต้องใช้สื่อ ดังนั้นก็ต้องให้ต้นทางบอกมา จะใช้จิตวิทยา อินฟลูฯ หรือปฏิบัติการชวนเชื่อก็ใช้ไป แยกกันต่างหาก ส่วนปฏิบัติการทางทหารก็ทำไป ไม่มีการถอย ดังนั้นสมรภูมิข่าวสารต้องมีการทบทวนว่า ที่ผ่านมาเราทำมาได้ผลมากน้อยแค่ไหน เป็นทิศทางนี้หรือไม่ ต่อไปต้องทำอะไร แม้ว่าตอนนี้เป็นช่วงหยุดยิง” นายก่อเขต กล่าว
มิติทางสังคมและสื่อใหม่
ดร.สังกมา สารวัตร อาจารย์สาขานิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ปกตินักศึกษาจะไม่ค่อยสนใจติดตามข่าวสาร แต่เรื่องไทย กัมพูชา พบว่านักศึกษามีการติดตามมาก และร่วมในการปั่นแฮชแท็ก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี แต่อีกแง่มุมหนึ่งคือข่าวที่ได้มานั้นเป็นแบบไหน เพราะเรื่องไทย กัมพูชา แม้แต่ในเวทีอาเซียน รัฐมนตตรีของสิงคโปร์ยังบอกว่าคราวนี้โซเชียลฯ เป็นตัวปั่นทำให้เกิดความเกลียดชังกันรุนแรง เกิดการคลั่งกลุ่มปีกขวา ขณะที่ มหาวิทยาลัยออสเตรเลีย บอกคนรุ่นใหม่ 40 % ที่ติดตามข่าวนั้นไม่ได้ตามจากสื่อหลัก แต่ไปตามกับอินฟลูฯ เพราะต้องการความเร็ว เรียลไทม์ เราก็ด้วย
ดร.สังกมา กล่าวว่า สำหรับการนำเสนอของสื่อไทยไปยังผู้รับสารในต่างประเทศเพื่อให้เชื่อเรา นั้นมี 2 มติ คือการสื่อสารโดยรัฐ ซึ่งสื่อต่างประเทศที่ตนคุยด้วยบอกว่า กัมพูชาได้เปรียบ เพราะสื่อต่างประเทศแต่ละคนไม่ธรรมดา เมื่อไปอยู่ที่กัมพูชา บอกว่าแม้จะถูกจำกัดเสรีภาพ แต่อย่างน้อยทุก 7 โมงเช้า จะมีพล.ท.มาลี มาแถลงข่าวเป็นทางการ แต่เมื่อมาทำข่าวที่ไทย เขาจะไม่รู้เลยว่าที่ไหน ไม่มีข้อมูลระดับรัฐในพื้นที่ขณะนั้น ตอนที่ไทยตั้งโฆษกผู้หญิง ก็ให้ข้อมูลว่า เพราะสวยกว่า สื่อต่างชาติ แลพกัมพูชาก็นำเสนอประเด็นนี้ นี่คือการกำหนดทิศทางข่าว ตอนนี้ทั่วโลกต้องการแสดงความเป็นผู้นำ เช่น ทรัมป์ เข้ามาแทรกแซงเพราะวังเป็นผู้นำทางด้านการสร้างสันติภาพ ดังนั้นเราจะสื่อสารอะไรต้องระวัง เพราะสงครามมีหลายด้าน 1. เศรษฐกิจ 2. การทหาร 3. ข่าวสาร อย่างกัมพูชามักสื่อสารว่า ต้องการสันติภาพ คนกัมพูชาที่ต่างประเทศ เขาไม่ได้ชอบสมเด็จฮุนเซ็น แต่ครั้งนี้เรารู้สึกว่าไทยบูลลี่เขา ดังนั้นการกำหนดประเด็นสื่อสารของสื่อสำคัญมาก ยิ่งล่าสุดมีผู้สื่อข่าวไทยไทยถามว่า เราจะบุกไปถึงพนมเปญเลยหรือไม่ ทำให้มีการนไปขยายควารุนแรง แล้วต้องบอกว่า กัมพูชาเขามีมีมรดกอย่างเดียวคือบรรดาปราสาทต่างๆ แล้วสมเด็จฮนเซ็น ก็ปลุกตรงนี้แล้วได้ผล ต้องการสื่อว่าตัวเองรักสันติภาพ
“ตอนนี้ความจริง คือใครกันแน่ที่รักษาสันติภาพ และใครกันแน่ที่เป็นผู้รุกราน เพราะคนต่างประเทศไม่เชื่อว่า ไทยถูกประเทศเล็กว่ารังแก ทำอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ เราต้องช่วงชิงการอธิบายตรงนี้” ดร.สังกมา กล่าว และว่า ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่ของคนวิชาชีพสื่อไทย เพราะคนต้องการความจริง ในขณะที่กัมพูชาสร้างข่าวปลอมหลายเรื่อง แล้วถูกตีกลับด้วยความจริง การสื่อสารของสื่อควรให้น้ำหนักกับเสียงของประชาชนมากขึ้นด้วย ทั้งนี้มีสื่อต่างประเทศลงพื้นที่สัมภาษณ์ประชาชน ประชาชนไม่ได้เกลียดกันเพราะเขาเป็นญาติกัน จึงเริ่มมองว่าเป็นการสู้ของตระกูล บางตระกูล เรื่องสแกมเมอร์ นอกจากนี้ตนยังมองว่า นอกจากเสรีภาพ การสื่อสารที่หลากหลายแล้ว ผู้บริหารสื่อต้องกล้าให้งบฯ และเวลาแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อพัฒนาตัวเองด้วย ไม่ใช้สนใจแต่เอ็นเกจเมนท์ สื่อ 1 คน ต้องทำงานหลายหน้าที่จนไม่มีเวลาพัฒนาศักยภาพด้านอื่นๆ