พรรคเพื่อไทย เปิดข้อมูล ‘ไทย-สหรัฐ’ ดีลภาษีจบที่ 19% ยันไทยไม่เสียเปรียบ
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย เปิดเผยผ่านช่องทางสื่อสารออนไลน์ ภายหลังการเจรจาดีลภาษีกับสหรัฐอเมริกา ว่าได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ทำให้ปิดดีลการเจรจาภาษีนำเข้าต่างตอบแทนที่ยืดเยื้อมานานลงได้ ยืนยันว่าไทยไม่ได้เสียเปรียบ และยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจไว้ได้ และถือโอกาสนี้ปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น
โดยพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ ล่าสุดได้ข้อสรุปที่อัตราภาษี 19 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าไม่เสียเปรียบ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในเอเชียที่ทำข้อตกลงในระดับใกล้เคียงกัน เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ 15 เปอร์เซ็นต์, ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ 19 เปอร์เซ็นต์ และเวียดนามที่ 20 เปอร์เซ็นต์ โดยรายละเอียดคำอธิบาย พรรคเพื่อไทยให้ข้อมูลไว้ดังนี้
ข้อเสนอหลักจากไทย ไม่ได้เปิดตลาดจนเสียเปรียบ โดยไทยเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ กว่าหมื่นรายการ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กว่า 64 เปอร์เซ็นต์ ของรายการสินค้านั้นมีภาษี 0 เปอร์เซ็นต์ อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเสนอนี้อยู่ในระดับเดียวกับ เอฟทีเอ ที่ไทยทำไว้กับประเทศอื่นกว่า 18 กลุ่ม เท่ากับไทยไม่ได้เสียเพิ่ม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐ แข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นได้มากขึ้น
สินค้าจำนวนมากที่ลดภาษีให้สหรัฐ ไม่ได้เป็นผู้ผลิตและส่งออกสำคัญของโลกเลย ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงของไทย ไทยยังได้ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกลไกการค้าที่ล้าสมัย เช่น มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี ที่ไม่จำเป็น ทำให้ภาคเอกชนไทย สามารถดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แม้ไทยจะเปิดลดภาษีให้รถยนต์จากสหรัฐ แต่สัดส่วนการนำเข้านั้นมีมูลค่าต่ำมาก เพียงราว 40 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปสหรัฐ ที่สูงกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์
อีกทั้งไทยยินดีเปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมการรักษาขั้นสูงจากสหรัฐ เพื่อส่งเสริมนโยบาย “Medical Hub” ของประเทศ ถือเป็นการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างประโยชน์เชิงโครงสร้างในระยะยาว และยังลดต้นทุนอาหารสัตว์ ลดต้นทุนเกษตรไทย ไทยต้องใช้ข้าวโพดกว่า 9-10 ล้านตัน/ปี แต่ผลิตได้เพียงครึ่งเดียว จึงจำเป็นต้องนำเข้า ดีลนี้จะช่วยให้ไทยนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ ในราคาถูกลง ไม่ใช่เพิ่มปริมาณ แต่เปลี่ยนแหล่งที่มาซื้อเดิม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรโดยตรง และยังลดปัญหา PM2.5 จากการเผาไร่ข้าวโพดได้ทางอ้อม ผลเชิงบวกจะตามมาทั้งระบบ เช่น เนื้อหมู ไก่ อาหารทะเลถูกลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์ และอุตสาหกรรมอาหารไทยมีศักยภาพแข่งขันมากขึ้น
อีกทั้งสินค้าส่งออกหลัก เช่น ข้าวหอมมะลิ ที่ตลาดสหรัฐ มีมูลค่าสูงกว่า 32,000 ล้านบาท และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย จะยังรักษาความได้เปรียบต่อไป ข้อตกลงใหม่นี้จึงช่วยเหลือครัวเรือนเกษตรกรกว่า 1 ล้านครัวเรือนได้โดยตรง ผัก ผลไม้ ปลา กุ้ง และสินค้าเกษตรแปรรูปอื่นๆ ก็จะได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง และมีโอกาสขยายตลาดในสหรัฐ ปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐ มูลค่ารวมกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์/ปี สร้างงานกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง และมีผู้ประกอบการไทยที่ได้ประโยชน์กว่า 4,000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี
ดีลนี้จึงช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดสหรัฐ ทั้งการส่งออกและดึงดูดการลงทุนใหม่ อีกทั้งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจนั้น การค้ากับสหรัฐ คิดเป็นราว 10 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพีของไทย กระทรวงการคลังจึงปรับประมาณการ จีดีพีปี 2568 ขึ้นเล็กน้อย จาก 2.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเดือนเมษายน เป็น 2.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อกรกฎาคม โดยรวมผลของดีลภาษีนี้เข้าไปแล้ว ซึ่งข้อตกลงนี้จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว
สุดท้ายนี้ พรรคเพื่อไทยถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณ ทีมไทยแลนด์ กับการทำงาน ความพยายาม และความทุ่มเทในงานเจรจาในห้วงเวลาเป็นเวลานานและท่ามกลางความกดดันแและยากจะควบคุม และภารกิจของทีมไทยแลนด์ที่ยังไม่สิ้นสุด ยังคงเดินหน้าทำงานและเจรจาต่อไป เพื่อให้ทุก ๆ การเจรจาเป็นประโยชน์ต่อประชาชน