“ทูตทหาร” รู้สึกเสียใจหลังลงพื้นที่กัมพูชาโจมตีพลเรือน หวังทุกอย่างสงบสุขโดยเร็ว
วันที่ 1 ส.ค. 68 ภายหลังจากคณะทูตทหาร 23 ประเทศ กว่า 50 คน ถึงพื้นที่จุดเกิดเหตุ เพื่อพิสูจน์ความจริงเหตุปะทะไทย-กัมพูชา จุดแรกคือ “ปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ” ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากชายแดนราว 20 กิโลเมตร ตัวแทนกองทัพไทย และกระทรวงการต่างประเทศ ได้อธิบายข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ว่าสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ กัมพูชาเป็นฝ่ายโจมตีพลเรือนไทยก่อน โดยการยิงจรวด BM-21 ตกลงใส่กลางร้านสะดวกซื้อ ภายในปั๊มน้ำมันแห่งนี้ ทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตถึง 8 ราย และมีเด็กรวมอยู่ด้วย
จุดนี้ นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้บรรยายสรุปสถานการณ์ภายในจังหวัด ตั้งแต่วันเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา จนนำมาซึ่งการสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน โดยมีล่ามเป็นผู้ถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษให้กับคณะทูตทหารรับฟังด้วย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เล่าว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นช่วงที่เด็กนักเรียนกำลังกลับบ้าน โดยมีผู้ปกครองมารับกลับ ระหว่างทางได้แวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ แต่สิ่งที่น่าหดหู่ใจที่สุด คือช่วงระเบิดลง ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีที่จุดนี้ถึง 8 ราย ในจำนวนนี้มีเด็กอายุ 8 ขวบ และ 14 ขวบ โดยผู้เป็นแม่ได้กอดลูกเอาไว้ในอ้อมอกในช่วงสุดท้ายของชีวิต ส่วนผู้บาดเจ็บอีกกว่า 10 ราย”
จากนั้นการโจมตีของกัมพูชา มีมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่ชุมชน และพลเรือน จนได้รับความเสียหายหลายจุด รวมไปถึงวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในช่วงบ่าย 3 โมง หลังชาวบ้านอพยพกันหมดแล้ว กัมพูชายังได้ยิงจรวด BM-21 ตกลงมาใส่ รพ.สต.บ้านชำเม็ง พื้นที่ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
จากนั้นครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในปั๊มน้ำมัน ปตท. ได้เดินทางมาเพื่อพบคณะทูตทหารด้วย โดยแต่ละครอบครัว ถือภาพผู้เสียชีวิตด้วยสีหน้าโศกเศร้า พร้อมเล่าถึงนาทีที่ตัวเองต้องสูญเสียบุคคลในครอบครัวให้กับคณะทูตทหาร และสื่อต่างชาติได้ฟัง
นอกจากนี้ พลตรีประเสริฐ หมวดเชียงคะ ผู้อำนวยการสำนักวิเทศสัมพันธ์กรมข่าวทหารบก ได้ช่วยอธิบายให้กับคณะทูตทหารฟังถึงข้อเท็จจริง และผลกระทบจากการโจมตีของกัมพูชา โดยจุดปั๊มน้ำมันแห่งนี้ ห่างจากชายแดนเกือบ 20 กิโลเมตร ซึ่งผู้ช่วยทูตทหารนานาชาติจะทราบกฎ และหลักการสู้รบอยู่แล้วว่า พื้นที่ดังกล่าวนี้ เป็นพื้นที่ส่วนหลัง ไม่ใช่พื้นที่ของการสู้รบ และเป็นสิ่งที่ควรประณามเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่ช่วงหนึ่งลูกเจ้าของปั๊มน้ำมัน ที่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ในช่วงวันเกิดเหตุ ได้ถือกระดาษ 1 แผ่น เล่าเหตุการณ์ให้คณะทูตทหารได้ฟังเป็นภาษาอังกฤษด้วย
ขณะที่ทีมข่าวได้พูดคุยกับผู้ช่วยทูตทหารบกจากสวีเดน บอกว่า ได้ลงพื้นที่แล้วมาเห็นสถานที่เกิดเหตุ บริเวณปั๊มน้ำมัน ก็รู้สึกเศร้าและเสียใจมาก ส่วนข่าวที่พนมเปญ กัมพูชาออกไปว่า สวีเดนงดขายกริพเพนให้กับไทยแล้ว ยืนยันเป็นเฟกนิวส์ ไทยกับสวีเดนคุยกันตามปกติ
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ปั๊มน้ำมัน ซึ่งเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ ที่รอดตายในครั้งนี้ บอกว่า “ทุกวันนี้ภาพทุกอย่างยังติดตา เพราะระเบิดมันแรงมาก และเธอพยายามหนีจะหนีออกจากร้าน ยอมรับว่ายังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ขาข้างซ้ายก็ยังบาดเจ็บ จากการถูกสะเก็ดระเบิด”
ส่วนจุดที่ 2 คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านชำเม็ง จุดนี้เจ้าหน้าที่ได้อธิบายให้คณะทูตทหารได้ฟังว่า ถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝั่งกัมพูชาโจมตีเข้ามาในวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากมีการอพยพคนไข้ และเจ้าหน้าที่ออกไปก่อนแล้ว และด้านหลังที่ติดกับโรงพยาบาลเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กด้วย ถ้าอพยพไม่ทัน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นคงประมาณไม่ได้ ซึ่งจุดนี้ก็ไม่ใช่พื้นที่การสู้รบ ไม่ควรจะถูกโจมตี
ซึ่งจากการสังเกตปฏิกิริยาของคณะทูตทหารที่ได้ฟัง และดูพื้นที่จริง หลายคนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าพื้นที่ฝั่งไทยที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะระหว่างไทยกัมพูชา ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุมชน และพลเรือนที่ต้องสูญเสีย
สำหรับจุดสุดท้าย คือ ศูนย์อพยพของชาวบ้าน ที่วิทยาลัยกันทรลักษ์ ทันทีที่คณะทูตทหารมาถึง เจ้าหน้าที่ของศูนย์อพยพแห่งนี้ ได้อธิบายสถานการณ์ให้แก่คณะทูตทหารรับฟังว่า หลังเกิดเหตุเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทางวิทยาลัยจึงได้รับการประสานให้เป็นศูนย์อพยพ เบื้องต้นมีผู้อพยพทั้งหมด 5,127 คน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงพลเมืองหลายพันคนในโซนนี้ ต้องระหกระเหินจากการที่กัมพูชาเปิดฉากยิง อีกทั้งนักเรียนนักศึกษาก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย ก่อนจะยกตัวอย่างถึงปัญหาว่าเวลาที่คนมาอยู่รวมกันที่ศูนย์อพยพ บางครั้งก็จะมีคนป่วย ส่วนคนที่มีอาการหนัก ก็จะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาล
หลังจากเจ้าหน้าที่ศูนย์อพยพได้บรรยายสถานการณ์เสร็จแล้ว ได้พาคณะทูตเดินไปเยี่ยมให้กำลังใจชาวบ้าน ระหว่างที่คณะทูตทหารเยี่ยมให้กำลังใจชาวบ้านในศูนย์อพยพ โดยชาวบ้าน และเด็กๆ ได้มอบนกสานที่ทำด้วยมือให้กับคณะทูตทหาร เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นการอยากเห็นถึงสันติภาพ-สันติสุขกลับคืนสู่พื้นที่ ช่วงหนึ่งมีชาวบ้านติดชายแดน ที่บ้านอยู่ห่างจากชายแดนเพียง 3 กิโลเมตร ได้เล่าถึงเหตุการณ์การประทะ และความรู้สึก ความอัดอั้นตันใจ ให้ทูตทหารจากญี่ปุ่นฟัง ซึ่งทูตทหารจากญี่ปุ่น ได้รับฟัง และบอกว่า “ฉันหวังว่าสถานการณ์จะสงบสุขโดยเร็ว ทุกคนจะได้กลับบ้าน วันนี้ได้มาเห็นสถานที่เกิดเหตุจริงๆ ก็หวังว่าเหตุการณ์จะสงบ ฝากให้ทหารไทยดูแลชาวบ้าน”
ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้สอบถามความเห็นจาก พล.ต.ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย ถึงประเด็นที่ชาวบ้านในพื้นที่พยายามสะท้อนว่าฝั่งกัมพูชา เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีไทยก่อนจนมีคนตาย ว่า “ฉันรู้สึกเสียใจมากสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ทำให้ชาวบ้านอพยพกันมาอยู่ที่นี่ เราเองก็อยากเห็นคนไทยได้กลับบ้าน เพราะเมื่อได้กลับบ้าน เราก็จะเห็นทุกคนมีความสุข ฉันเชื่อว่าในอนาคต หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”
เมื่อถามว่าประเทศมาเลเซียเป็นตัวกลางที่ทำให้ไทยและกัมพูชาเจรจาและหยุดยิง ส่วนตัวมีความเห็นอย่างไรนั้น พล.ต.ซัมซุล บอกว่า ”เราเป็นประเทศอาเซียน หลังจากนี้ก็หวังว่าคงไม่มีการปะทะอีก ส่วนใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ทุกอย่างต้องไปพูดคุยกันในอาเซียน”
นอกจากนี้ยังฝากถึงนายกรัฐมนตรีของไทย และกัมพูชาด้วยว่า เราต้องการจะเห็น การยุติการปะทะ อยู่อย่างสามัคคี พร้อมขอบคุณนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ ที่มาเจรจาตกลงกัน ขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียที่เป็นผู้จัดการเจรจาในครั้งนี้ พวกเราชาวอาเซียนต้องการความสามัคคี.