มูลนิธิ ทำบุญ ระดมทุน
เสรี พงศ์พิศ
Fb Seri Phongphit
มูลนิธิใหญ่ระดับโลกมีบทบาทสำคัญในการบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการพัฒนา การสงเคราะห์ การศึกษา การวิจัย สุขภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สื่ออิสระ ฯลฯ แต่ละมูลนิธิมีทรัพย์สินมหาศาล มีวิธีการบริหารจัดการ ระดมทุน ลงทุน แบบมืออาชีพเพื่อให้มีกองทุนที่ยั่งยืน
Bill & Melinda Gates Foundation มีทรัพย์สินประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท, Wellcome Trust ของสหราชอาณาจักร 1.3 ล้านล้านบาท, Ford Foundation 530,000 ล้านบาท, Rockefeller Foundation 150,000 ล้านบาท, Open Society Foundations (OSF) ของ George Soros 600,000 ล้านบาท
มูลนิธิ Toyota เป็นกองทุนที่สนับสนุนการวิจัยระดับเอเชีย มีบทบาทนานาชาติอย่างชัดเจน เป็นกลไก CSR ของบริษัท ส่วนมูลนิธิ Volkswagen สนับสนุนการวิจัย วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม
มูลนิธิขนาดกลางและเล็กทั่วโลกที่ไม่มีทรัพย์สินตั้งต้นมากจำเป็นต้องมี “ยุทธศาสตร์” การระดมทุน และการจัดการกองทุนอย่างรอบคอบเพื่อความอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อใช้ Professional Fundraisers บริษัทหรือนักระดมทุนมืออาชีพมาช่วย
มีหลากหลายกลยุทธ์ในการแบ่งเงินบริจาค มาตรฐานที่ยอมรับในวงการทั่วโลก คือ 60–80%: นำไปใช้ใน “ภารกิจหลัก” 10–25%: ค่าใช้จ่ายบริหารองค์กร 5–15%: การระดมทุน
ประเทศไทยมีมูลนิธิมากกว่า 16,000 แห่ง ส่วนใหญ่เป็น “มูลนิธิเพื่อการกุศล” เช่น เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ เพื่อศาสนา เพื่อการศึกษาแบบให้ทุน เพื่อเกียรติบรรพบุรุษ มีส่วนน้อยเพื่อการพัฒนา
ส่วนใหญ่ก่อตั้งโดยบุคคล/ตระกูล เป็น “อนุสรณ์” หรือ “ทำบุญ” ในแนวพุทธ ขนาดเล็ก รายได้เฉลี่ยต่อปีไม่กี่ล้านบาท ส่วนใหญ่ไม่มีทีมงานประจำ หรือไม่มีระบบมืออาชีพในการบริหารกองทุน
จุดอ่อนหลัก คือไม่มีทุนตั้งต้นถาวร (endowment fund) ไม่ระดมทุนเชิงรุก หรือมีระบบ donation platform แบบต่างประเทศ โปร่งใสน้อย ไม่มีการเปิดเผยงบประมาณรายปีต่อสาธารณะ ไม่ใช้เครื่องมือการลงทุน/รักษาทุนอย่างเป็นระบบ
ไทยเราไม่มีมูลนิธิขนาดใหญ่อย่าง Gates, Ford ที่ใกล้เคียงก็อาจเป็นมูลนิธิเทียนฟ้า (2452) ของชุมชนจีน ช่วยเหลือผู้ยากไร้ มูลนิธิปูนอินทรี มูลนิธิ SCG และที่เกิดในธุรกิจรุ่นใหม่อย่างกลุ่มซีพี, ปตท., บางจาก, SCG เป็นต้น
มีการวิจัยว่า วัดกันต่อประชากร คนไทยบริจาค “ทำบุญ” มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก วัฒนธรรมไทยคงเป็นหนึ่งในปัจจัยทำให้ไม่มี “มูลนิธิใหญ่” แต่ก็ไม่ได้แปลว่า “ทำบุญ” น้อย
คนไทยส่วนใหญ่ “บริจาคเพื่อบุญส่วนตน” สร้างวัด ศาลา เจดีย์ ไม่ใช่เพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบโครงสร้าง จึงเป็นที่ทราบกัน (เป็นข่าว - จนมีการ “ขายบุญ” เพื่อจะได้ไปสวรรค์) มีกองทุน มีวัดหลายแห่งมีทรัพย์สินหลายพันล้าน แต่ไม่โปร่งใส ไม่มีระบบตรวจสอบทางบัญชีสาธารณะ
คนรวยนิยมบริจาคแบบเฉพาะกิจ ซื้อเครื่องมือแพทย์ บริจาคโรงพยาบาล สร้างตึก ตั้งชื่อ แต่ไม่ตั้ง “กองทุนถาวร” ที่เติบโตยั่งยืน “การบริจาคแบบให้จบในครั้งเดียว” มากกว่า “การวางโครงสร้างระยะยาว”
สังคมไทยขาดแรงจูงใจเชิงระบบ ไม่มีมาตรการลดหย่อนภาษีที่จูงใจชัดเจนครอบคลุมแบบสหรัฐฯ ไม่มีระบบสนับสนุนจากภาครัฐให้เกิด Endowment Culture สร้าง “กองทุนต้นทุน” แล้วใช้เฉพาะดอกเบี้ย/ผลตอบแทน ลงทุนในพันธบัตร กองทุนรวม หุ้นที่มีเงินปันผล “กองทุนดี” ต่าง ๆ
ระบบกฎหมายยังล้าสมัย ขาดธรรมาภิบาล ขาดมืออาชีพด้านการกุศล (Philanthropy) ไม่ค่อยมีนักระดมทุนมืออาชีพ (professional fundraiser) หรือ “ผู้จัดการมูลนิธิ” แบบในตะวันตก คนที่ตั้งมูลนิธิมักทำเอง หรือให้ญาติบริหาร โดยไม่มีระบบหรือความเป็นมืออาชีพ จึงเกิดความขัดแย้งและคดีความเนืองๆ
ที่ที่ควรมี Endowment fund อย่างมหาวิทยาลัย กลับไม่มี ต้องพึ่งแต่ทุนจากรัฐและค่าเทอม ถ้าไม่มีสินทรัพย์อย่างมหาวิทยาลัยเก่าแก่บางแห่งก็ไม่มีทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา
มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่างมหาวิทยาลัยเอกชนแบบไม่แสวงหากำไร (non-profit private universities) เช่น Harvard, Yale, Stanford, Princeton, MIT ฯลฯ ถือว่าเป็นของสาธารณะ ที่มีการบริหารโดย “มูลนิธิ” หรือ “คณะกรรมการทรัสตี” (Board of Trustees) ที่มีหน้าที่ดูแลทั้งทางวิชาการและทรัพย์สินเพื่อให้มหาวิทยาลัยอยู่รอดและพัฒนาในระยะยาว
สิ่งที่ทำให้มหาวิทยาลัยเหล่านี้มั่นคงมากคือ Endowment Fund หรือกองทุนถาวร ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเกิดจากการระดมทุนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รายได้จากกองทุนนี้ใช้เพียงดอกผลบางส่วน (เช่น 4–5% ต่อปี) เพื่อให้ทุนการศึกษา เงินเดือนคณาจารย์ พัฒนาโครงการวิจัย
วิธีการระดมทุนของมหาวิทยาลัยระดับโลกใช้กลยุทธ์ที่เป็นระบบ และ “มืออาชีพ” มากที่สุดโดยมีทั้งวิธีเชิงอารมณ์ เชิงกลยุทธ์ และเทคโนโลยีช่วย ส่วนหนึ่งอาศัยศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง
ขนาด “กองทุนถาวร” (Endowment Fund) ของมหาวิทยาลัยระดับโลก (ปี 2024) Harvard $51,000 ล้าน Yale $42,000 ล้าน Stanford $36,000 Princeton $34,000 MIT $23,000
สังคมไทยไม่ได้ไร้ “ทรัพยากร” และ “น้ำใจ” ลองนึกภาพ “ชาวบ้าน” ในชนบทที่ไม่มีรายได้อะไรมากมาย ตื่นแต่เช้า หุงหาอาหารไปตักบาตร หรือไปถวายพระที่วัด พระเป็นแสนๆ รูป อยู่ได้ด้วย “การทำบุญ”ของชาวบ้านยากจน ยังกฐิน ผ้าป่า ที่ไปถวายวัดแต่ละปี และที่แต่ละคนไปทำบุญที่วัดเอง
รัฐเองพยายามส่งเสริม “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่งมีอยู่ 79,610 แห่ง รัฐจัดสรรไตรมาสแรกปี 2568 11,000 ล้านบาท มีเงินทุนหมุนเวียนทั้งหมดอยู่ประมาณ 220,000 ล้านบาท มีเงินออมหลายหมื่นล้านบาท
สมาชิกกองทุนหมู่บ้านมี 13-14 ล้านคน น่าจะมีเงินออมมากกว่านี้ เช่นเดียวกับสหกรณ์การเกษตรที่เพิ่งมาส่งเสริมการออมของสมาชิกจริงจังไม่นาน เพื่อให้มี “ทุน” ให้สมาชิกกู้ยืมเอง โดยไม่พึ่งแต่ ธ.ก.ส.
ปัญหาของบ้านเราจึงไม่ใช่ไม่มี “ทุน” ไม่มี “สินทรัพย์” เพียงแต่เป็นอะไรที่ยังเป็น “รหัสนัย” (ความเร้นลับแบบ Mystery of Capital ที่ Hernando de Soto เขียนและมีแปลเป็นไทย)
รัฐมองไม่เห็น “ศักยภาพ” หรือ “พลังภายในที่ยังไม่พัฒนา” อีกมากมาย ไม่ส่งเสริมให้ “พึ่งตนเอง” ด้วยการระดทุนอย่างเป็นระบบ และการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ