กรมชล ลุยบริหารน้ำ EEC สร้างความมั่นใจ "ประชาชน-นักลงทุน-เกษตรกร"มีน้ำใช้
กรมชล ติดตามการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ภาคตะวันออก และ EEC หนุนเศรษฐกิจพื้นที่ขยายตัว สร้างความมั่นใจประชาชน นักลงทุน และเกษตรกรมีน้ำใช้เพียงพอ
วันที่ 28 ส.ค 2568 นายทินกร เหลือล้น ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 9 เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จ.ระยอง และอ่างเก็บน้ำบางพระ จ. ชลบุรี ว่า เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำ ให้เพียงพอกับกิจกรรมต่างๆอาทิ อุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ การเกษตร การอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว เป็นต้น โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ( EEC )
ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถกระจายน้ำได้ทั่วถึงและเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ การเกษตร การอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และยังเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาภัยแล้งในปี 2569 ที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาสภาพภูมิกาศของโลกที่มีความแปรปรวน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ปัจจุบัน(28 ส.ค.68) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้ง 58 แห่ง ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีปริมาณน้ำเก็บกักรวมกันทั้งสิ้น 1,344ล้านลบ.ม. หรือคิดเป็นเกือบ 53% ของความจุอ่างฯรวมกัน จนถึงขณะนี้มีผลการสูบน้ำโครงข่ายบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก ดังนี้
1.การสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ฯและคลองชลประทานพานทอง มาเติมน้ำต้นทุนในอ่างฯบางพระ ปริมาณน้ำสะสมรวมประมาณ 35.4 ล้านลบ.ม.
2.การสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง มาเติมน้ำต้นทุนให้อ่างฯบางพระ ปริมาณน้ำสะสมรวม 3.1 ล้านลบ.ม.
3.การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 27.44 ล้านลบ.ม.
4.การสูบผันน้ำกลับจากคลองสะพานไปยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ ปริมาณน้ำสะสมรวม 7.8 ล้านลบ.ม.
5.การสูบผันน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปยังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ เพื่อไปเสริมน้ำต้นทุนให้กับอ่างฯหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 20.17 ล้านลบ.ม.
6.การสูบผันน้ำกลับจากวัดละหารไร่ไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 1.58 ล้านลบ.ม. ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการผลิตน้ำประปา รักษาระบบนิเวศ การเกษตรและภาคอุตสหกรรม ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา) ได้อย่างเพียงพอ ตลอดทั้งปี
นายทินกร กล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตามเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปริมาณความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้น กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ตั้งแต่ปี 2563-2580 รวมทั้งสิ้น 39 โครงการ ทั้งการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ ปรับปรุงเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำเดิม สร้างโครงข่ายน้ำเพิ่มขึ้น จัดทำระบบสูบน้ำกลับรวมทั้งการขุดลอก และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ลุ่มต่ำเพิ่มเติม
และยังได้มีการนำแนวคิดและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 17 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ 6 โครงการ และเป็นโครงการที่ต้องขับเคลื่อนอีก 16 โครงการ หากดำเนินการโครงการแล้วเสร็จทั้งหมด จะมีโอกาสสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ถึง 909 ล้าน ลบ.ม.
ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านน้ำให้แก่ประชาชนและเกษตรกรทั้งในและนอกพื้นที่ EEC ให้มีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและการเกษตรใช้ได้อย่างเพียงพอและไม่ขาดแคลน
นอกจากนี้ กรมชลประทานยังได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาภัยแล้งโดยมุ่งเน้นการพัฒนาแหล่งน้ำโดยใช้ศักยภาพของลุ่มน้ำต่าง ๆ ให้เกิดความสมดุลเพียงพอต่อความต้องการ บริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ มีแนวทางในการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งและน้ำท่วม
รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในทุกภาคส่วน กำหนดให้มีการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่พร้อมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กรมชล ลุยบริหารน้ำ EEC สร้างความมั่นใจ "ประชาชน-นักลงทุน-เกษตรกร"มีน้ำใช้
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th