อินเตอร์โกลด์ ฯ มุ่งสู่ผู้นำตลาดทองคำด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล
อินเตอร์โกลด์ ฯ เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำตลาดทองคำด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชันหลัก “ Gold2Go และ InterGOLD เดินหน้าขยายฐานลูกค้าเปิดสาขาอีก 3 แห่งในปีหน้า พร้อมสร้างระบบการกระจายทองคำที่มีประสิทธิภาพ รองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นจากร้านค้าทั่วประเทศ พร้อมบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้น้อยกว่า 10% แนะเก็บทองช่วงพักฐาน
นายธีรรัฐ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายในปี 2568 ไว้ไม่น้อยกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหลังจากผลงานครึ่งปีแรกของปี 2568 อินเตอร์โกลด์ ฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะฐานลูกค้าบุคคลที่เพิ่มขึ้นถึง 50% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนรุ่นใหม่มอบให้ บริษัทฯ จึงตั้งเป้าขยายบริการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าบุคคลให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ผ่านแอปพลิเคชัน Gold2Go ที่พร้อมยกระดับประสบการณ์การลงทุนทองคำในยุคดิจิทัล และเดินหน้าสร้างการเติบโตอีก 100% จากปีก่อน ซึ่งในปี 2567 บริษัทมียอดขายอยู่ในอันดับที่ 4 ของกลุ่มผู้ประกอบการค้าทองคำในไทย หรือที่ระดับมูลค่า 610,000 ล้านบาท
อกจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ อินเตอร์โกลด์ยังคงให้ความสำคัญกับร้านทอง ด้วยการดูแลและรักษาฐานลูกค้าเดิมอย่างใกล้ชิด พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่สร้างความพึงพอใจสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยัง เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำตลาดทองคำด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ผ่านสองแอปพลิเคชันหลัก ได้แก่ Gold2Go แอปพลิเคชันสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการความสะดวกในการออมทอง และ InterGOLD แอปพลิเคชันสำหรับร้านทองที่ต้องการซื้อขายทองคำในปริมาณมาก ด้วยระบบจัดการสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน InterGOLD (สำหรับ B2B) และ Gold2Go (สำหรับ B2C) มียอดดาวน์โหลดรวมมากกว่า 200,000 ครั้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มดิจิทัลของบริษัท โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่ Gold2Go มียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นกว่า 70% ตอกย้ำถึงความนิยมและการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและผู้บริโภคในวงกว้าง (อ้างอิงจากตัวเลขสถิติการใช้งานเว็บไซต์ที่มีมากเป็นอันดับ 1 ในหมวดหมู่ Finance-Investing ด้านสถิติการใช้งาน) และยังพัฒนาแอปพลิเคชันให้มีความยืดหยุ่น เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนในระดับที่เหมาะสมกับแต่ละคน โดยการลงทุนผ่าน แอปพลิเคชัน Gold2Go ซึ่งสามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด
สำหรับการบริหารความเสี่ยงนั้น อินเตอร์โกลด์ ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำ ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน และพฤติกรรมของนักลงทุนในแต่ละช่วงเวลา บริษัทฯ จึงเน้นส่งเสริมแนวทาง “ลงทุนอย่างมีวินัย” และ “สร้างภูมิคุ้มกันพอร์ต” ผ่านแนวคิด Dollar-Cost Averaging (DCA) หรือ การทยอยซื้อเพื่อลดความเสี่ยงด้านต้นทุนในภาวะที่ราคามีความผันผวนสูง
โดย อินเตอร์โกลด์ ให้บริการเริ่มต้นซื้อทองได้ด้วยเงินเพียง 100 บาท ,รับทองคำจริงได้ตั้งแต่ 0.5 กรัม (มูลค่าไม่เกิน 2,000 บาท) รวมทั้งบริการจัดส่งทองคำทางไปรษณีย์ พร้อมระบบติดตามและประกันภัยเต็มรูปแบบและรองรับการซื้อ–ขายแบบออนไลน์ แบบเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งเหล่านี้คือแนวคิดการบริหารความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งในเชิงกลยุทธ์และเครื่องมือสนับสนุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถปรับตัวและวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจแม้ในภาวะที่ตลาดผันผวน
นายธีรรัฐกล่าวถึงการการขยายฐานลูกค้า เพื่อให้ครอบคลุม ทั้งในมิติของพื้นที่ และรูปแบบบริการ โดยมีแผนการดำเนินงาน คือพันธมิตรทองคำระดับชาติ ตั้งเป้าขยายเครือข่ายร้านทองคู่ค้า (B2B) มากกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างระบบการกระจายทองคำที่มีประสิทธิภาพ รองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นจากร้านค้าทั่วประเทศ พร้อมกับปฏิวัติการรับทองคำในต่างจังหวัด เปิดให้บริการรับทองคำจริงนอกพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่นักลงทุน และตอบโจทย์ความต้องการในการซื้อทองเพื่อนำไปเก็บรักษา เริ่มต้นจากจังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่นำร่อง และมีแผนขยายสู่หัวเมืองเศรษฐกิจสำคัญอื่นทั่วประเทศ คาดว่าจะเปิดสาขาให้บริการอีก 3 แห่งภายในปี 2569
สำหรับราคาทองคำในประเทศอินเตอร์โกลด์ มองว่ายังคงอยู่ในช่วง “พักฐาน” หลังจากแตะจุดสูงสุดที่ 54,000 บาทต่อบาททองคำในครึ่งปีแรก หรือเพิ่มขึ้นกว่า 25% จากปลายปี 2567 สะท้อนโอกาสในการทยอยเข้าสะสมทองคำสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะเมื่อราคาย่อลงมาใกล้ระดับแนวรับสำคัญ ซึ่งในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์จากการเก็งกำไรระยะสั้น มาเป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ ทยอยการลงทุนเพื่อบริหารต้นทุนเฉลี่ย และถือทองคำในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือปีนี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามประกอบ ทั้งจัยสำคัญทั้งนโยบายการเงินสหรัฐฯ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะการลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาด ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงลบต่อราคาทองคำ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงเป็นการเพิ่มต้นทุนการถือครองทองคำของนักลงทุน , สงครามการค้าที่การเจรจาและความคาดหวังจากข้อตกลงการค้าต่าง ๆ ไม่ได้สร้างแรงหนุนให้ราคาทองคำเหมือนช่วงก่อนหน้า แต่กลับส่งผลให้เกิดแรงกดดันที่อาจส่งผลต่อการปรับลงของราคาได้ ตลอดจนความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ - สถานการณ์ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน และแรงซื้อจากจีนที่ต่อเนื่องถึง 9 เดือนติด หลังจากปีก่อนที่จีนซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 เดือน แต่เมื่อหยุดการซื้อ ราคาทองคำได้ปรับตัวลงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า นโยบายการซื้อทองคำของจีนเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดทองคำโลก
“ช่วงที่เหลือปีนี้ให้กรอบราคาระยะกลาง 51,300-50,500 บาท เพราะราคาทองรับข่าวลบไปหมดแล้ว และเชื่อว่าราคาทองจะไม่หลุด 50,000 บาท ซึ่งคนที่ลงทุนทองไทยจะมีความมั่นคง เพราะการขึ้นลงของราคาทองจะไม่รับผลกระทบมากนักเพราะมีบาทมาช่วย การขาดทุนจะน้อย ต่างจากทองนอกราคาขึ้นลงไม่มีบาทมาช่วย ทำให้มีความเสี่ยงมากกว่า ” นายธีรรัฐกล่าว
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO