Open Source คืออะไร ทำไมเป็นประเด็นร้อนวงการ AI? เมื่อ Meta-DeepSeek-OpenAI ปล่อย AI ให้ใช้ฟรี
เมื่อวานนี้ (6 สิงหาคม 2568) มีข่าวใหญ่สะเทือนวงการ AI ออกมา เมื่อ OpenAI เจ้าของแชทบอตชื่อดัง ChatGPT ออกมาเปิดตัว “GPT-oss” โมเดลแบบเปิด หรือ Open Source ให้นักพัฒนา นักวิจัยนำไปใช้ต่อได้ ทั้งนี้เพื่อที่จะขยายฐานผู้ใช้ และเพื่อแข่งกับ LLaMA ของ Meta และ DeepSeek ที่เปิดโมเดล Open Source
นับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีของ OpenAI ที่หันมาปล่อยโมเดล Open Source ให้สามารถดาวน์โหลดไปใช้งาน วิเคราะห์ ตรวจสอบ ปรับแต่ง หรือใช้งานในงานเฉพาะทางได้ แถมด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังสนับสนุน ออกมาเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันเร่งปล่อย AI แบบ Open Source ออกมาอีก เพื่อรักษาความเป็นผู้นำโลก ถึงขั้นปั้น AI Action Plan มีแผนจะให้ Open Source เป็นยุทธศาสตร์ชาติเลยทีเดียว
แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงกันเบื้องหลังมาตลอดว่า โมเดล Open Source นี้เป็น “ความเสี่ยง” หรือเป็น “โอกาส” กันแน่ Thairath Money จะขอมาอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า Open Source คืออะไร แล้วมันจะสะเทือนวงการ AI อย่างไรบ้าง
Open Source คืออะไร?
“Open Source” คือ ซอฟต์แวร์ โปรแกรมหรือโค้ดที่เปิดให้ใครก็ได้สามารถเข้าถึง เข้าไปศึกษา แก้ไข แจกจ่ายต่อ หรือนำมาใช้งานตามที่ต้องการได้แบบฟรี ๆ
โดยองค์กรไม่แสวงหากำไรอย่าง Open Source Initiative (OSI) ได้วางเกณฑ์เอาไว้ว่า ถ้าจะเรียกตัวเองว่าเป็น “Open Source” ได้จริง ๆ จะต้องเปิดให้เข้าถึงทั้งตัวซอฟต์แวร์และเงื่อนไขการใช้งานอย่างชัดเจน ต้องเปิดเผยข้อมูลชุดที่ใช้เทรนโมเดล พร้อมให้สิทธิคนทั่วไป เข้าไปศึกษาระบบ นำไปใช้ หรือปรับแต่งเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ ก็ได้
และสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ Open Source ก็คือ Closed Source ที่เราจะไม่สามารถเห็นเบื้องหลังหรือแก้ไขอะไรได้เลย เพราะทั้งหมดถูกล็อกไว้โดยเจ้าของระบบ เช่นเดียวกับการที่บางบริษัทไม่เปิดเผยว่าโมเดล AI ของตัวเองเรียนรู้อะไรมาบ้าง หรือทำงานอย่างไร
หรือถ้าลองเปรียบเทียบง่าย ๆ Open Source ก็เหมือนกับอาจารย์ที่ยอมเปิดเผยทุกหน้าในตำราให้โหลดฟรี แถมให้สิทธิใครก็ได้เอาไปแปล แก้ไข เพิ่มตัวอย่างใหม่ หรือสอนต่อได้เลย แบบนี้ก็จะช่วยให้การศึกษาเข้าถึงคนได้ทั่วโลก แต่กลับกัน Closed Source ก็เหมือนกับรายวิชาที่ต้องซื้อหนังสือเท่านั้น แถมห้ามถ่ายเอกสาร ห้ามแชร์ ห้ามดัดแปลง ก็คือถ้าใครไม่มีเงินก็เท่ากับอดเรียนนั่นเอง
ที่ผ่านมา หลายบริษัทเทคโนโลยีเคลมว่า “โมเดล AI ของตัวเองเป็น Open Source” แต่พอเจาะลึกดูแล้ว หลายเจ้า แค่เปิดบางส่วนเท่านั้น ซึ่งก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเข้าข่าย Open Source จริงหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่น Meta เจ้าของ Facebook ที่มีโมเดล Llama, Mistral สตาร์ตอัพ AI จากฝรั่งเศส ตลอดจน DeepSeek จากจีน ทั้งหมดต่างปล่อยโมเดล AI ออกมาในฐานะ “Open Source” แต่ทาง Bloomberg รายงานว่า ส่วนมากที่ปล่อยออกมานั้นควรจะเป็นโมเดล “Open-Weight” มากกว่า
โมเดล Open-Weight คือ โมเดลที่แม้จะเปิดให้ใช้งานได้ฟรี พร้อมให้ดูค่า Weight ซึ่งก็คือ น้ำหนักโมเดลหรือพารามิเตอร์ที่โมเดลเรียนรู้มาระหว่างการเทรน (จะช่วยให้นักพัฒนาปรับแต่งโมเดลได้ดีขึ้น) แต่จะไม่เปิดเผยข้อมูลที่ใช้เทรนโมเดลจริง ๆ หรืออาจไม่ปล่อยซอร์สโค้ดทั้งหมดออกมา
อย่างเช่น Meta ที่ปล่อยโมเดล Llama ออกมาโดยเปิดให้เข้าถึงค่า Weight และโค้ดบางส่วน แต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเทรนโมเดล และยังเคยโดน OSI ตำหนิเรื่องเงื่อนไขการใช้งานเชิงพาณิชย์ที่มีข้อจำกัด ในขณะที่ DeepSeek ที่เคยบอกว่าโมเดลล่าสุดอย่าง R1 เป็น Open Source แต่กลับไม่ได้ปล่อยโค้ดหรือข้อมูลเทรนออกมาเลย ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วพัฒนาโมเดลจากอะไร?
ส่วนของ OpenAI แม้จะมีคำว่า “Open” ในชื่อบริษัท แต่ OpenAI ไม่ได้เปิดโมเดลส่วนใหญ่ของตัวเองให้คนทั่วไปใช้งานหรือดูเบื้องหลังได้เลย แต่หลังจากที่โมเดลของ DeepSeek กลายเป็นไวรัล แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI ก็ออกมายอมรับว่า “เราน่าจะต้องคิดกลยุทธ์ Open Source ใหม่ ผมคิดว่าเราอยู่ผิดฝั่งของประวัติศาสตร์มาตลอด”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: OpenAI ปล่อยโมเดลให้โลกใช้ฟรี เปิดตัว “GPT-oss” เขย่าตลาดโอเพ่นซอร์ส
และในเดือนสิงหาคมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ OpenAI ก็ได้ปล่อยโมเดลใหม่ 2 ตัว ได้แก่ GPT-oss-120b และ GPT-oss-20b ซึ่งทั้งสองโมเดลเป็นแบบ Open-Weight เปิดให้โหลดใช้ฟรีบนแพลตฟอร์ม Hugging Face โดยที่โมเดลเหล่านี้สามารถสร้างข้อความได้ใกล้เคียงการใช้เหตุผลของมนุษย์ แต่ยังไม่สามารถสร้างภาพหรือวิดีโอได้
โอกาสและความเสี่ยงของ Open Source
กลุ่มที่สนับสนุน Open Source มักจะยกประโยชน์หลายข้อขึ้นมาพูด โดยเฉพาะเรื่องราคาที่เข้าถึงง่าย เพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์หรือค่าใช้งานแบบซอฟต์แวร์ปิด ทำให้คนทั่วไปและนักพัฒนาสามารถเข้าถึง AI ได้มากขึ้น ช่วยลดต้นทุนการพัฒนา และเร่งนวัตกรรมให้เกิดเร็วขึ้น แถมยังตรวจสอบได้ว่าโมเดลทำงานยังไง มีความโปร่งใส และป้องกันการใช้งานในทางที่ผิดได้ง่ายกว่า
อีกหนึ่งข้อดีที่พูดถึงบ่อยคือ ลดการผูกขาดของบริษัทใหญ่ เพราะถ้า AI เป็นของปิดหมด โลกอาจถูกควบคุมโดยไม่กี่บริษัทที่มีอำนาจทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับ Open Source ก็มีเหตุผลไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย เพราะขาดการควบคุมแบบเข้มงวด และอาจจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
ในกรณีของ AI บางฝ่ายในสหรัฐฯ กังวลว่า การใช้โมเดลจากจีน อาจกลายเป็นภัยต่อความมั่นคง เช่น ถูกใช้เก็บข้อมูลประชาชน หรือถูกสอดแนมแบบเงียบ ๆ และบริษัทอเมริกันที่เปิดโมเดลบางส่วน อาจเผลอเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากต่างชาติย้อนกลับมาใช้เทคโนโลยีนั้นเล่นงานอเมริกาเอง
แล้วทำไม DeepSeek และ Meta ถึงเปิด Open Source?
ในฝั่งของ DeepSeek แม้จะไม่ได้เปิดทั้งหมดแบบ 100% แต่การเลือกแนวทางเปิดบางส่วน ช่วยบรรเทาความกังวลของผู้ใช้งานทั่วโลกที่มองว่าจีนมักควบคุมเทคโนโลยีอย่างเข้มงวดได้พอสมควร และการเปิดโมเดลออกมาให้เข้าถึงง่ายนั้น ยังช่วยให้นักพัฒนาในตลาดตะวันตกสามารถนำไปดัดแปลงต่อยอดได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นการขยายอิทธิพลของ DeepSeek ไปในตลาดโลกอย่างชาญฉลาด
และนั่นก็เป็นกลยุทธ์เดียวกับที่ Meta ใช้ในการแผ่ขยายโมเดล AI แบบ Open Source โดยทางมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กเคยให้สัมภาษณ์กับรายการ The Joe Rogan Experience ไว้ว่า “นี่คือการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ และจีนก็ลุยเต็มที่ ถ้าจะมีโมเดลโอเพ่นซอร์สตัวใดที่คนทั้งโลกใช้กัน เราก็ควรทำให้มันเป็นโมเดลของฝั่งอเมริกา”
ในการฝึกโมเดลของ DeepSeek ที่ชื่อว่า R1 ถูกออกแบบมาให้เลียนแบบวิธีคิดของมนุษย์ โดยจะใช้เวลาขบคิดก่อนจะตอบคำถามผู้ใช้ แนวคิดนี้คล้ายกับโมเดลยุคใหม่ของฝั่งสหรัฐฯ อย่าง OpenAI หรือ Google แต่สิ่งที่ DeepSeek แตกต่างคือ ความประหยัดและฉลาดในการใช้ทรัพยากร
ในขณะที่บริษัทฝั่งอเมริกาจะใช้ชิปประมวลผลระดับสูงจำนวนมหาศาล ในการเทรน AI ฝั่งของ DeepSeek กลับใช้วิธีที่สร้างสรรค์ในการใช้ชิปที่ด้อยกว่าทางเทคโนโลยีและมีอยู่อย่างจำกัด เนื่องจากสหรัฐฯ ควบคุมการส่งออกชิปรุ่นใหม่ไปยังจีน
โดยพึ่งพาเทคนิคที่เรียกว่า Reinforcement Learning หรือการให้รางวัลเมื่อระบบตอบถูก และลงโทษเมื่อตอบผิด เพื่อช่วยให้โมเดลพัฒนาตัวเองได้เรื่อย ๆ ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ แต่ DeepSeek ก็ยังสามารถสร้างโมเดลที่มีประสิทธิภาพสูงได้
ที่มา: Bloomberg [1][2], OpenAI, Open Source Initiative
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : Open Source คืออะไร ทำไมเป็นประเด็นร้อนวงการ AI? เมื่อ Meta-DeepSeek-OpenAI ปล่อย AI ให้ใช้ฟรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- Tim Cook ประกาศความสำเร็จ iPhone มียอดขาย 3 พันล้านเครื่องทั่วโลก
- OpenAI เพิ่มกลไกป้องกันด้านสุขภาพจิตบน ChatGPT แจ้งเตือนกรณีใช้งานนานเกินไป
- ChatGPT Agent เจ๋งกว่าเดิมยังไง ? ผู้ช่วย AI ใหม่ ไม่ได้แค่ตอบคำถาม แต่ทำงานแทนได้เลย
- OpenAI เปิดตัว ChatGPT Agent เครื่องมือ AI ที่คิดและทำงานซับซ้อนได้เอง
- OpenAI ปล่อยโมเดลให้โลกใช้ฟรี เปิดตัว “GPT-oss” เขย่าตลาดโอเพ่นซอร์ส
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath