MOODY: ที่หึงมาก เพราะรักหรือกลัวกันแน่นะ? ล้วงลึกความรู้สึก ‘หึงหวง’ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งรับมือได้ดีขึ้น

รักกันแค่ไหน ผ่านอะไรมาเท่าไหร่ พอ ‘หึง’ ทีไร เรื่องใหญ่ทุกที ทำไมกันนะ?

ความรู้สึกหึงหวง ถือเป็นหนึ่งในปัญหาเรื้อรังสำหรับคู่รักหลายคู่ ที่มักมาในรูปแบบคำถามเบาๆ ว่า “เมื่อกี้ใครทักมาเหรอ” หรือ “วันนี้ไปกินข้าวกับใครนะ” หรือบางครั้งก็มาในรูปของความเงียบ ความน้อยใจ ความไม่ไว้ใจ หรือบางทีก็กลายเป็นอารมณ์โกรธที่ทั้งเราทั้งเขาเองก็งงว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น

แม้ความหึงหวงมักถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความรัก เป็นการแสดงออกว่าเรายังรู้สึกกับอีกฝ่ายอยู่มากแค่ไหน แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้นเสมอไป เพราะภายใต้ความรู้สึกนี้ มีอีกหลายชั้นที่ซ่อนอยู่ ทั้งเรื่องของจิตใจ ความสัมพันธ์ และแม้แต่รากเหง้าทางชีววิทยา

งานวิจัยล่าสุดโดยนักจิตวิทยาชื่อ มีร์นา จูริช (Mirna Đurić) และทีมวิจัย ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Emotion ปี 2025 ได้พาเราไปสำรวจว่าเวลาเราหึงใครสักคน มันไม่ได้จบแค่ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของ หรือกลัวว่าจะโดนทิ้ง แต่มันอาจทำให้เรา ‘รู้สึกขัดแย้งในใจ’ อย่างที่เราเองก็อาจอธิบายไม่ถูก

ทีมวิจัยเรียกภาวะนี้ว่า ‘ความคลุมเครือทางอารมณ์’ (Subjective ambivalence) คือในเวลาเดียวกัน เรากลับรู้สึกทั้งชื่นชมและไม่ไว้ใจคนรักไปพร้อมๆ กัน คนที่หึงอาจมองว่าคนรักของตนน่ารัก มีเสน่ห์ มีคุณค่ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนคนนั้นไม่น่าไว้วางใจ หรืออาจจะทำให้เราผิดหวังเมื่อไหร่ก็ได้

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ต่อให้เราไม่ได้เป็นคนรู้สึกหึงหวงเอง แต่แค่ ‘รู้สึกได้ว่าเขากำลังหึงเรา’ บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกสับสนได้เหมือนกัน เช่น เรารับรู้ได้ถึงความรัก ความใส่ใจ ความพยายามของเขา แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจับตา ถูกสงสัย หรืออึดอัดในความใกล้ชิดนั้น

จากการเก็บข้อมูลของผู้เข้าร่วมมากกว่า 1,400 คน ทั้งจากเนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา นักวิจัยพบว่าความหึงหวงมีแนวโน้มจะดึงให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ในหลายรูปแบบ และยิ่งเกิดบ่อย ความรู้สึกคลุมเครือในใจเราก็จะยิ่งชัดขึ้น และพออารมณ์มันปะปนกันไปหมดแบบนี้ คนที่รู้สึกก็จะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า จริงๆ แล้วเรายังอยากอยู่ใกล้เขา หรืออยากถอยออกมาปกป้องตัวเองกันแน่

มีร์นาและทีมวิจัย จึงเปรียบเทียบว่า ‘ความหึงหวงก็เหมือนดาบสองคม’ ที่ด้านหนึ่งมันบอกเราว่า “เรารักเขานะ กลัวเสียเขาไปนะ” ซึ่งก็เป็นด้านที่ดี ทำให้เราอยากรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ อยากดูแลกันให้มากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความหึงหวงก็อาจปลุกความกลัว ความไม่มั่นใจ ความรู้สึกว่าเราอาจไม่ดีพอ หรืออีกฝ่ายอาจไปจากเราได้ทุกเมื่อ และเมื่อความรู้สึกสองฝั่งนี้มาชนกัน มันก็ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคงกับความสัมพันธ์ และบางทียังรู้สึกไม่มั่นคงกับตัวเองด้วย

อีกหนึ่งงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Evolutionary Psychological Science ปี 2023 ก็พาเราไปมองความหึงหวงจากมุมของวิวัฒนาการ นักวิจัยอธิบายว่า ความหึงหวงเป็นเหมือนกลไกป้องกันตัวที่ฝังอยู่ในระบบจิตใจของเรา เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยที่บอกเราว่า “ระวังนะ อาจมีใครเข้ามาแย่งคนที่เรารักไป” แล้วมันก็จะไปกระตุ้นให้เราทำอะไรบางอย่าง เช่น ถาม เช็ก สังเกต หรือพูดคุยเพื่อปกป้องไม่ให้สูญเสียความสัมพันธ์นี้ไป

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในวารสาร Evolution and Human Behavior ปี 2022 ที่พบว่าเรื่องของความหึงหวงนั้น บางส่วนก็มาจากพื้นฐานทางพันธุกรรมด้วย ซึ่งหมายความว่าแต่ละคนมีแนวโน้มจะมีอารมณ์หึงหวงไม่เท่ากัน บางคนอาจรู้สึกแรงกว่า รู้สึกไวกว่า หรือกลัวเสียคนรักมากกว่า โดยที่ตนเองก็ไม่ได้อยากรู้สึกเช่นนั้นเลย และถ้าในอดีตเราเคยผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาก่อน เช่น เคยโดนนอกใจ หรือเคยรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าเทียบเท่าคนรัก ความรู้สึกหึงหวงก็อาจกลับมารุนแรงยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ยังมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่กระตุ้นความหึงหวงได้โดยที่เราไม่ทันคิด เช่น การรู้สึกว่าคู่แข่งของเราน่าดึงดูดกว่า มีรูปร่างหน้าตาหรือบุคลิกภาพที่เราไม่มี บางทีแค่เสียงพูด หรือท่าทางบางอย่าง ก็อาจทำให้ใจเราสั่นคลอนได้เหมือนกัน

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ อาจคิดว่าเช่นนี้แล้วถ้าความรู้สึกหึงหวงมันน่ากลัว ดูเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายที่พร้อมฉีกสะบั้นความรักของเราลงได้ เช่นนั้นเราไม่ควรรู้สึกถึงมันหรือเปล่านะ? หรือไม่สนใจมันไปเลยหรือเปล่า ไม่ใช่เลย สิ่งที่ MOODY อยากชวนให้ทุกคนมองคือ ‘ความหึงหวง’ คือหนึ่งในความรู้สึกอันเป็นปกติของมนุษย์ เพียงแต่มันไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด มันไม่ได้มีแค่ด้านที่น่ากลัว แต่มันก็ไม่ได้มีแค่ด้านที่โรแมนติกเหมือนในหนังด้วยเช่นกัน

ความหึงหวงคืออารมณ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการรักษาสิ่งที่ตนรักเอาไว้ให้ดีที่สุด เพียงแค่บางครั้งวิธีที่แสดงออก มันอาจทำให้เรากับเขารู้สึกห่างไกลกันมากขึ้น แต่ถ้าเราเริ่มเข้าใจความหึงหวงในแบบที่มันเป็น ไม่รีบผลักไสมัน ไม่รีบตัดสินตัวเองหรืออีกฝ่าย บางทีมันอาจกลายเป็นประตูบานหนึ่งที่พาเราไปสู่การพูดคุยที่ลึกขึ้น เข้าใจกันและกันมากขึ้น และรู้ว่าเรายังอยากประคองความสัมพันธ์นี้ไว้ด้วยกัน

แล้วทุกคนมีวิธีรับมือกับความหึงหวงกันแบบไหน? ลองมาแชร์กันใต้คอมเมนต์ได้นะ 🙂