ลงนามหย่าศึก13ข้อ อาเซียนเป็นพยานGBCไทย-กัมพูชาห้ามยิงไม่ปล่อยเฟกนิวส์
ผลประชุมจีบีซีไทย-กัมพูชา เห็นพ้องลงนามบันทึกข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ห้ามยิง ห้ามยั่วยุ ห้ามเคลื่อนย้ายเสริมกำลัง ไม่ปล่อยข้อมูลเท็จ "บิ๊กเล็ก" ปลื้มทีมไทยแลนด์ทำบรรลุข้อตกลงหย่าศึก ย้ำขอดูความจริงใจเขมรจะปฏิบัติตามแค่ไหน "ภูมิธรรม" ลั่นหากกัมพูชาละเมิดมีอาเซียนเป็นพยาน "ฮุน มาเนต" โพสต์แสดงความยินดี ขอไทยรีบปล่อยตัวเชลยศึก "มทภ.2" ลั่นทหารยังตรึงกำลังชายแดน บอกไม่สามารถคุมพื้นที่ได้ด้วยเครื่องมือต้องใช้คนเฝ้า เมิน "ฮุน เซน" ขอไทยงดใช้ F-16 ย้ำจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย "พปชร." หนุนต้องยกเลิก MOU 43-44 ป้องกันไทยเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 16
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 08.00 น. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ประกอบด้วย พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด, นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, พล.อ.ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก, พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ, พล.อ.อ.วชิระพล เมืองน้อย เสนาธิการทหารอากาศ, พล.อ.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร, พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร Subang ประเทศมาเลเซีย ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง
จากนั้น พล.อ.ณัฐพลเข้าเยี่ยมคารวะนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน ที่สำนักงานนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะเจ้าภาพของสถานที่การประชุม ก่อนที่จะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ในช่วงบ่าย
เวลา 12.00 น. พล.อ.ณัฐพลได้หารือกับทีมไทยแลนด์ มีเอกอัครราชทูตลดา ภู่มาศ ให้การต้อนรับ โดยทีมไทยแลนด์ได้บันทึกภาพก่อนเข้าร่วมการประชุม GBC
พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นตอนนี้มาถึงครึ่งทาง ต้องลุ้นตอนบ่ายนี้ว่าทางกัมพูชาจะจริงใจกับเราด้วยหรือไม่ ถ้าจริงใจกับเราก็จะสำเร็จ ส่วนตัวประเมินความจริงใจของกัมพูชาไว้ 3 ระดับ 1.ระดับเลขาฯ เราประสบความสำเร็จขั้นที่หนึ่งไปแล้ว และวันนี้คือขั้นที่ 2 ในระดับ GBC ใหญ่ ส่วนระดับ 3 คือขั้นการปฏิบัติ ฉะนั้นขอชื่นชมทุกคนด้วยความจริงใจ และขอขอบคุณที่ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย โดยรัฐบาลต้องมองหลายปัจจัย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ทั้งในและต่างประเทศ ต้องชั่งน้ำหนักกัน บางครั้งหากมุ่งด้านการทหารอย่างเดียว อาจทำให้ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ ชื่นชมในขีดความสามารถ ตนได้ติดตามการปฏิบัติงานตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ด้วยความห่วงใย ขอให้น้องๆ จงภูมิใจว่าการทำงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ซึ่งมองว่าจากนี้ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังต้องสนับสนุนในการทำงานต่อไป เพราะจากนี้ไปก็จะเป็นการประชุมคณะกรรมการส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศก็มาเกี่ยวข้องเหมือนเดิม ไม่ทิ้งกองทัพ
"อยากฝากกับกองทัพให้ช่วยสนับสนุนกลไกการหยุดยิงให้เกิดรูปธรรม รวมถึงการสร้างกลไกผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งปัญหาปัจจุบัน ที่ทางรัฐบาล ศบ.ทก.ประสบ คือฝ่ายปฏิบัติของทางกัมพูชา มีลักษณะยั่วยุรุกล้ำ แต่กองทัพมาชี้แจงอย่างเดียวไม่มีน้ำหนัก ซึ่งหากมีผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวมาเป็นพยาน จะได้มีพยานในเวทีนานาชาติด้วย" พล.อ.ณัฐพลกล่าว
ต่อมาภายหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง โดย 2 ฝ่ายเห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย ร่วมจัดทำกับฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ฝ่ายกัมพูชา
ลงนามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ
โดย พล.อ.ณัฐพล ประธานร่วมฝ่ายไทยของ GBC และ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชาของ GBC ได้ร่วมลงนามบันทึกผลการประชุม ซึ่งมีรายละเอียดตามที่ทั้งสองฝ่ายหารือและตกลงกันตลอด 3 วันที่ผ่านมา ด้วยความหวังให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาคลี่คลาย นำมาซึ่งสันติภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงไทยสนับสนุนการใช้กลไกทวิภาคี ระหว่างกันในการพูดคุยอย่างมีประสิทธิภาพ
เอกสาร “Agreed Minutes of the Extraordinary General Border Committee (GBC) Meeting between Cambodia and Thailand” ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2025 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย 13 ข้อประกอบด้วย
ข้อตกลงหยุดยิง 1.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหยุดยิง ครอบคลุมอาวุธทุกประเภท รวมถึงการโจมตีเป้าหมายพลเรือน วัตถุของพลเรือน และเป้าหมายทางทหารของแต่ละฝ่าย ในทุกกรณีและทุกพื้นที่ โดยต้องหลีกเลี่ยงการยิงโดยปราศจากการยั่วยุไปยังตำแหน่งหรือกองกำลังของฝ่ายตรงข้าม และข้อตกลงนี้ห้ามละเมิดโดยเด็ดขาดในทุกกรณี 2.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะคงกำลังพล ในที่ตั้งเดิมโดยไม่เคลื่อนย้ายเพิ่มเติมนับจากเวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค.2025 (เวลาท้องถิ่น) และจะไม่มีการเคลื่อนย้ายกองกำลังใดๆ รวมถึงการลาดตระเวนเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้าม 3.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่เสริมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากจะเพิ่มความตึงเครียดและส่งผลลบต่อความพยายามระยะยาวในการคลี่คลายสถานการณ์
4.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ดำเนินการใดๆ ที่ยั่วยุให้เกิดความตึงเครียด เช่น การเข้าสู่น่านฟ้าหรือดินแดนของฝ่ายตรงข้าม หรือเคลื่อนกำลังเข้าใกล้จุดหยุดยิงหลังจากเวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค.2025 พร้อมทั้งตกลงที่จะไม่ก่อสร้างหรือเสริมกำลังโครงสร้างทางทหาร หรือป้อมปราการใดๆ เลย นอกเหนือจากเขตของตน 5.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือวัตถุของพลเรือนในทุกกรณี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของชุมชนและละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมสากล
6.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ สำหรับการดูแลเชลยศึก เช่น สภาพความเป็นอยู่ การรักษาพยาบาล และการดูแลผู้บาดเจ็บ หากฝ่ายหนึ่งต้องการส่งทหารหรือพลเรือนบาดเจ็บไปยังฝ่ายตรงข้ามเพื่อรับการรักษา ให้พิจารณาตามขีดความสามารถของสถานพยาบาลและจริยธรรมทางการแพทย์ของฝ่ายนั้น เชลยศึกต้องได้รับการปล่อยตัวโดยเร็วหลังการยุติปฏิบัติการ การคืนศพต้องทำในเวลาที่เหมาะสมและให้เกียรติ ภายใต้หลักการมนุษยธรรม โดยไม่มีการข้ามแดน และทำให้มั่นใจว่าศพจะไม่สูญหาย 7.หากเกิดการปะทะ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ทั้งสองฝ่ายจะต้องปรึกษาหารือกันในระดับท้องถิ่นผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เพราะหากเกิดความขัดแย้งต่อเนื่อง จะเสี่ยงต่อชีวิตของพลเรือนและทหารทั้งสองฝ่าย
8.โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า 8.1 รักษาช่องทางการสื่อสารระหว่างกองทัพในทุกพื้นที่และหน่วยบริเวณชายแดนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ, 8.2 จัดประชุม “คณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค” (RBC) ภายในสองสัปดาห์หลังการประชุม GBC ครั้งนี้ โดยเจ้าภาพจะหมุนเวียนกันตามระบบเดิม, 8.3 รักษาช่องทางสื่อสารตรงระหว่างรัฐมนตรีและผู้บัญชาการระดับสูง 9.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ ที่อาจทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น หรือนำไปสู่ความเข้าใจผิดของประชาชน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาอย่างสันติ
กลไกการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 10.ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะปฏิบัติตามความเข้าใจร่วม ที่ตกลงกันในวันที่ 28 ก.ค.2025 ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน นำโดยมาเลเซีย เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลง 11.ทั้งสองฝ่ายจะมอบหมายให้คณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBCs) ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง โดยมีทีมผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนเป็นผู้ร่วมประสานงานและสังเกตการณ์ RBCs จะประชุมสม่ำเสมอ และรายงานต่อ GBC ผ่านสายการบังคับบัญชาของแต่ละประเทศ 12.ระหว่างรอทีมผู้สังเกตการณ์ของอาเซียน (ASEAN observer team) เข้าพื้นที่ จะมีการจัดตั้ง “ทีมผู้สังเกตการณ์เฉพาะกิจ” (Interim Observer Team - IOT) ประกอบด้วย ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ประจำอยู่ในไทยและกัมพูชา โดยมีมาเลเซียเป็นผู้นำ IOT จะทำงานแยกจากกันโดยไม่ข้ามแดน และจะประสานงานใกล้ชิดกับ RBC และ GBC ของแต่ละประเทศ
วันและสถานที่ประชุม GBC ครั้งต่อไป 13.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดการประชุม GBC ครั้งต่อไป ภายในหนึ่งเดือนหลังวันที่ 7 ส.ค.2025 (สถานที่จะหารือกันภายหลัง) หากไม่สามารถจัดประชุมได้ภายในเวลาดังกล่าว จะต้องจัดการประชุม GBC พิเศษ โดยใช้รูปแบบเดียวกับการประชุมครั้งนี้ทันที เพื่อหารือประเด็นหยุดยิง
บิ๊กเล็กขอดูใจเขมรหลังสงบศึก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการประชุม GBC พล.อ.ณัฐพลและคณะเดินทางกลับประเทศไทยทันที โดยบรรยากาศบนเครื่องบินกองทัพอากาศ พล.อ.ณัฐพลได้เดินขอบคุณทีมไทยแลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะ ที่ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อทำให้บรรลุ 13 ข้อตกลงหยุดยิงกับฝ่ายกัมพูชา โดยกล่าวชื่นชมทุกฝ่ายทุกหน่วยงานที่ร่วมกันปฏิบัติภารกิจครั้งประวัติศาสตร์นี้ร่วมกัน
ขณะที่ทีมไทยแลนด์ก็ได้ปรบมือเพื่อเป็นกำลังใจให้กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่นำคณะสามารถบรรลุข้อตกลงกับกัมพูชาได้สำเร็จ
พล.อ.ณัฐพลย้ำว่า ตนประเมินความจริงใจกับฝ่ายกัมพูชา 3 ขั้น คือ 1.ขั้นเลขาฯ เจรจาผ่าน 2.วันนี้ขั้นจีบีซี เจรจาผ่าน หลังจากนี้จะเหลือขั้นปฏิบัติของฝ่ายกัมพูชาอีกหนึ่งขั้น เราต้องประเมินไปเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาสื่อสังคมออนไลน์ ชอบโจมตีว่าเชื่อใจกัมพูชาได้อย่างไร ขอบอกเราประเมินทุกระยะ จากนี้ก็ต้องติดตามในขั้นปฏิบัติต่อไป
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม GBC ว่า ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่สามารถพูดคุยและเห็นพ้องร่วมกันในข้อตกลงที่มีการหารือกันในที่ประชุม ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่หากมีความจริงใจจริงจังในการปฏิบัติเรื่องนี้ให้สำเร็จลุล่วง ก็ทำให้การหยุดยิงนั้นสามารถเกิดผลโดยสมบูรณ์ได้ รวมถึงเรื่องต่างๆ ก็จะเป็นไปตามข้อตกลง
เมื่อถามว่า หากมีการละเมิดข้อตกลงจะมีกลไกใดรองรับหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ทั้งหมดนี้มีกระบวนการรองรับ แม่ทัพทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการพูดคุยกัน ซึ่งจะมีผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนประจำประเทศไทยและผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนประจำประเทศกัมพูชา และผู้ช่วยทูตทหารของมาเลเซียสังเกตการณ์และดูแลครั้งนี้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดอาเซียนก็ต้องเข้ามาช่วยเป็นพยานให้ เป็นเรื่องที่กฎหมายระหว่างประเทศจะดำเนินการ
เมื่อถามว่า จะต้องมีการทบทวนเพื่อยกเลิก MOU 43 หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน MOU 43 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อันนี้เป็นเรื่องของการหยุดยิงเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลายจนมีการปะทะกัน ฉะนั้น MOU 43 เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าจะคุยเรื่องนี้ต้องไปคุยอีกระดับหนึ่งตามกฎหมายทั้งหมด
ขณะที่ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊ก Hun Manet ระบุว่า ขอร่วมแสดงความยินดีกับความสําเร็จของการประชุมวิสามัญ GBC ของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปกัมพูชา-ไทย โดยมีการสังเกตการณ์จากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 7 ส.ค.2025
พล.อ.ฮุน มาเนต กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการนําประเด็นที่เห็นด้วยระหว่างตนกับท่านภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ในการประชุมพิเศษที่ปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 โดยมาเลเซียและสหรัฐอเมริกาเข้าร่วม โดยมีการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากสาธารณรัฐประชาชนจีน กัมพูชา-ไทยได้พูดคุยและเห็นด้วยเกี่ยวกับเงื่อนไขของการหยุดยิงและการปรับปรุงการสื่อสารระหว่างสองกองทัพ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะผลักดันการเตรียมระบบติดตามการหยุดยิงของทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน และตกลงให้ทีมผู้สังเกตการณ์ระหว่างกาลนําโดยกองทัพมาเลเซีย เพื่อสังเกตการณ์ในทันทีและเตรียมการของทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียนต่อไป
"ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้จัดการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการชายแดนชนบท (RBC) ภายในสองสัปดาห์ และประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปกัมพูชา-ไทย (GBC) ภายในหนึ่งเดือนหลังจากการประชุมวิสามัญ GBC ในกรณีที่มีความจําเป็นทั้งสองฝ่ายสามารถประชุมวิสามัญของคณะกรรมการชายแดนสามัญกัมพูชา-ไทย (Extraordinary GBC Meeting) ในรูปแบบเช่นนี้ กัมพูชายังขอปล่อยทหารกัมพูชา 18 นาย ภายใต้การดูแลกองทัพไทย" นายกรัฐมนตรีกัมพูชาระบุ
มทภ.2 เมิน 'ฮุนเซน' ร้องงดใช้ F-16
วันเดียวกัน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบอุปกรณ์โดรนลาดตระเวน เครื่องนุ่งห่ม รวมถึงของใช้ที่จำเป็น จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นำโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เพื่อนำไปมอบให้กับทหารแนวหน้า
พล.ท.บุญสินกล่าวว่า อุปกรณ์ที่ได้มอบเป็นความจำเป็น ซึ่งเราจะเห็นว่าเป็นการรบสมัยใหม่ ไม่มีเวลาที่จะไปจัดซื้อจัดหาตามระบบราชการ ก่อนจะเข้าสู่ระบบงบประมาณต้องใช้เวลานาน พวกเราได้อุปกรณ์เหล่านี้จากกลุ่มพลังเพื่อแผ่นดิน ยามเฝ้าแผ่นดิน และประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้มีส่วนร่วมก็ในการปกป้องประเทศชาติ ตนจะรีบนำไปให้ทหารแนวหน้าใช้ป้องกันตัวเอง ลาดตระเวนรักษาเขตแดนประเทศไทย
ถามว่า วันนี้ได้ข้อสรุปในการประชุม GBC สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร พล.ท.บุญสินเชื่อว่าจะดีขึ้น และจะจบด้วยดี เมื่อถามว่าได้ประเมินท่าทีของกัมพูชาอย่างไรว่าจะทำตามข้อตกลงในการประชุม GBC หรือไม่ พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ในความคิดของตนทิศทางน่าจะเป็นไปในทางที่ดี ส่วนการดำเนินการต่อจากนี้ต้องรอให้ พล.อ.ณัฐพลแถลงผลทั้งหมดในสิ่งที่ได้ไปลงนามกัน
"ผมให้ความสำคัญ ทหารไทย ณ ปัจจุบันนี้อยู่ตรงไหนก็ให้อยู่ตรงนั้น คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นหลัก ส่วนเรื่องอื่นๆ ถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องพูดคุยกัน เช่น การหยุดยิง ซึ่งเราก็ได้พูดคุยกันอยู่แล้ว และสถานการณ์ต่อจากนี้ก็ได้เน้นย้ำให้ทหารหน้าแนวตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และตรึงกำลังไว้ตลอด เรื่องแผ่นดินไม่สามารถคุมได้ด้วยเครื่องมือ ต้องใช้คนเฝ้า เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีของกัมพูชาแล้ว เราจะต้องประกบไว้แบบนี้" พล.ท.บุญสินกล่าว
ถามถึงกรณีที่สมเด็จฮุน เซน โพสต์ไม่อยากให้ไทยใช้ F-16 ในการปฏิบัติการ และขอร้องนานาชาติไม่ให้ขายเครื่องบินรบให้กับไทย แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า เป็นเรื่องของเรา เขาขอ ไม่ให้ใช้ก็ไม่เป็นไร แต่เราจะใช้เพื่อปกป้องอธิปไตยของเรา ส่วนข่าวการลอบสังหารสมเด็จฮุน เซน และฮุน มาเนตนั้น เป็นข่าวที่ออกมาจากสื่อของกัมพูชา เราไม่ได้ปฏิบัติอยู่แล้ว
ด้าน พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แสดงจุดยืนของพรรค พปชร. ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ประเทศชาติมีความจำเป็นต้องยกเลิก MOU 2544-2543 เพราะมีความเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องเสียผืนแผ่นดินไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะมีอดีตนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปเซ็นเอกสารรับรองแผนที่ 1:200,000 แทนที่จะใช้แผนที่ 1:50,000 ที่ใช้เป็นสากลในปัจจุบัน ซึ่งหาก MOU ทั้ง 2 ฉบับคงอยู่ จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16.