‘เขากระโดง’ขู่ฟ้องมท.
ทนายความบุรีรัมย์แถลงยัน ปชช.มีสิทธิ์ทาง กม.ครอบครองที่ดินเขากระโดง เพราะ รฟท.ไม่มี พ.ร.ฎ.และแผนที่แนบท้ายอ้างกรรมสิทธิ์ ย้ำคำพิพากษาศาลฎีกาผูกพันเฉพาะคู่ความ และกังขาหลักฐานแสดงต่อศาลปม 35 รายเป็นเท็จหรือไม่ ลั่น มท.เพิกถอนเมื่อไหร่ฟ้องกราดรูดทั้งแพ่งและอาญา ด้าน “ศุภชัย” ซัดไม่ใช่กลั่นแกล้ง แต่เข่นฆ่าทางการเมือง ขณะที่ มท.1 ท้าฟ้อง ยันปฏิบัติตามศาลฎีกา
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ตัวแทนประชาชนจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ประกอบการธุรกิจและนิติบุคคลที่มีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ร่วมจัดงานแถลงข่าว เพื่อตอบโต้และชี้แจงกรณีการแถลงข่าวของนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.3) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เรื่องการเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินกว่า 5,083 ไร่ ซึ่งมีผู้ถือครองมากถึง 995 ราย
นายชนินทร์ แก่นหิรัญ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง ชี้แจงกรณีข้อพิพาทสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง ต.อิสาณ อ.เมืองฯ จ.บุรีรัมย์ โดยยืนยันว่า สิทธิในที่ดินของประชาชนยังคงชอบด้วยกฎหมาย แม้จะมีคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลอุทธรณ์บางคดีที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นำมาอ้าง แต่ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันเฉพาะคู่ความและที่ดินพิพาทในคดีเท่านั้น
ไม่อาจยกขึ้นยันกับราษฎรผู้ถือเอกสารสิทธิตามกฎหมายในที่ดินแปลงอื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 และมาตรา 3 อีกทั้งยังได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 37 อีกด้วย
นายชนินทร์ระบุด้วยว่า จนถึงปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตและจัดซื้อที่ดิน พร้อมแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา รับรองให้ รฟท.ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บนที่ดินบริเวณเขากระโดง ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 หรือกฎหมายอื่นใด ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็น “ที่ดินรถไฟ” ตามนิยามในพระราชบัญญัติดังกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น แผนที่สำรวจ (Exploitation Plan) ดังกล่าว จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการขนย้ายหินบริเวณเขากระโดงชั่วคราว โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 45 จึงไม่ใช่ทางรถไฟเพื่อใช้ในการเดินรถตามมาตรา 3 (3) ของพระราชบัญญัติเดียวกัน และไม่ใช่แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านกระบวนการพระราชทานโปรดเกล้าฯ ตามกฎหมาย
“หากท่านภูมิธรรม อธิบดีกรมที่ดิน รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ยังคงดำเนินการเพิกถอนโฉนดโดยยึดถือแผนที่หรือข้อมูลเท็จของ รฟท. เพื่อสนองนโยบายทางการเมือง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ราษฎรทุกรายผู้ได้รับผลกระทบ จะยืนหยัดปกป้องสิทธิของตนอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง และเรียกค่าเสียหาย หรือดำเนินคดีอาญาฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เบิกความเท็จ ปลอมแปลงเอกสารราชการ และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้กระทำต้องรับผิดจนกว่าคดีจะถึงที่สุด” นายชนินทร์ระบุ
นายตฤณ แก่นหิรัญ ทนายความ กล่าวว่า เมื่อ รฟท.ไม่สามารถแสดงสิ่งที่เป็นพยานหลักฐานที่กฎหมายกำหนดได้ รฟท.จะมากล่าวอ้างลอยๆ ว่าที่ดิน 5,083 ไร่ เป็นที่ของ รฟท.ไม่ได้ ที่ดินผืนนี้ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของ รฟท. จึงไม่อาจมาหวงห้ามเอกชนที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ได้ ถ้า รฟท.คิดว่ามีหลักฐานที่ดีกว่าก็เอามาแสดงกัน เพราะประชาชนทุกคนที่อยู่ที่นี่พร้อมพิสูจน์ความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ในชั้นศาล
นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า สังคมเห็นกระบวนการของ รมว.มหาดไทยและ รมช.มหาดไทย ที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่าดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้น และตนเป็นห่วงว่าเมื่อได้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่แล้วจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรต่อไป เพราะต้องทำตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งมาตรา 61 วรรค 8 จะต้องเพิกถอนด้วยคำสั่งศาลถึงที่สุด แต่วันนี้ชาวบ้าน 995 ราย ยังไม่มีคำพิพากษาอะไรเลย เพราะผูกพันแค่ 35 ราย จึงขอบอกว่าวันนี้การรถไฟฯ บุกรุกที่ชาวบ้านอยู่
“วันนี้ถ้า มท.1 และ มท.3 และการรถไฟฯ มาลงพื้นที่เขากระโดง ถ้าพวกท่านไม่ยินยอม สามารถดำเนินคดีพวกเขาได้เลย ดังนั้นหากทางกระทรวงมหาดไทยเริ่มเพิกถอน เมื่อไหร่ดำเนินคดีก็จะนับหนึ่ง และเมื่อถามว่าวันนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ ผมขอบอกว่าตั้งใจเข่นฆ่าทางการเมือง” นายศุภชัยกล่าว
ขณะที่ นายทิวา การกระสัง ทนายความ และหนึ่งในเจ้าของที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในกรณีพิพาทกับ รฟท. โดยระบุว่า ตนถือครองเอกสารสิทธิในที่ดินประเภท นส.3 ตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งการจะออกเอกสารสิทธิดังกล่าวได้ ต้องมีการแจ้ง สค.1 มาตั้งแต่ปี 2497 ก่อนที่ตนเองและหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเกิดด้วยซ้ำ
การที่ รฟท.อ้างกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินในปี 2539 นั้น เป็นสิ่งที่ประชาชนไม่สามารถยอมรับได้ เพราะเกือบ 29 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีหมุดหรือป้ายแสดงกรรมสิทธิ์ของ รฟท. แต่ว่าปรากฏอยู่ในพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อาศัย และครอบครองมาโดยสุจริต อีกทั้งยังตั้งคำถามว่า ใช้หลักคิดใดในการระบุว่าที่ดิน 5,083 ไร่เป็นของรัฐ โดยอ้างคำพิพากษาศาลฎีกา
“ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ตัดสินว่าที่ดิน 5,083 ไร่เป็นการบุกรุก และยึดที่หลวง เป็นเรื่องที่ช้ำใจและเจ็บปวดมาก เพราะเราอยู่ตรงนี้มานาน อยู่โดยสุจริต มีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมาย” นายทิวากล่าว
ด้านนายภูมิธรรมกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาตามหลักกฎหมาย เพราะเราปกครองด้วยระบอบกฎหมาย แต่เมื่อหากรู้สึกว่าถูกรอนสิทธิ์ ก็สามารถร้องขอกระบวนการยุติธรรมได้เลย เราไม่ได้ปฏิเสธ หากเราทำตรงนั้นไม่ถูกต้อง จะแก้ปัญหาก็ว่ากันต่อไป แต่ขณะนี้เรากำลังปฏิบัติตามคำสั่งศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกายืนยันว่าเป็นที่ดินของรัฐ และเป็นมาตั้งแต่ต้น เราก็ปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นการยกเลิกเป็นไปตามกฎหมายอย่างแท้จริงทั้งหมด ส่วนคนที่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เราไม่ได้ปิดกั้นสิทธิ์.