‘มาริษ’ เผยสวีเดนห่วงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา หลังเขมรใช้โล่มนุษย์ยั่วยุ
เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ประเทศสวีเดน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ พบหารือทวิภาคีระหว่างอาหารกลางวัน กับนางมารีอา มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด รมว.ต่างประเทศสวีเดน โดยทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ นวัตกรรม สตาร์ทอัพ การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการเปลี่ยนผ่านพลังงานสีเขียว อีกทั้งได้หารือถึงการขยายโอกาสการค้าและการลงทุน รวมถึงการเร่งรัดการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-อียู การสนับสนุนของสวีเดนในการที่ไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี การยกเว้นการตรวจลงตราเข้าสู่เขตเชงเกนของผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย และการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศด้วย นอกจากนี้ รมว.ต่างประเทศของทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมลงนามในเอกสารความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย - สวีเดน
ทั้งนี้ นายมาริษ กล่าวภายหลังการหารือว่า ตนได้อธิบายให้รมว.ต่างประเทศสวีเดนเข้าใจถึงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย- กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นเครื่องมือกระทำการยั่วยุอย่างต่อเนื่อง ที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่กัมพูชาพยายามใช้ ทั้งที่ขัดต่อความตกลงในกฎบัตรสหประชาชาติ เหมือนกับการใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ เพื่อทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งฝ่ายสวีเดนก็เข้าใจ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องนี้ ประเด็นที่หน่วยงานในพื้นที่ต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน เพราะเมื่อมีพลเรือนเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการทำงานของทางทหารก็จะยากลำบาก อาจนำไปสู่การสร้างความตึงเครียดมากขึ้น ดังนั้น หน่วยงานที่เป็นพลเรือนในพื้นที่ก็จำเป็นจะต้องเข้ามาดูแลและแก้ไขสถานการณ์ตรงนี้
"การใช้มนุษย์เป็นโล่ป้องกันนั้น ไม่มีใครใช้อยู่แล้ว ไม่ควรใช้พลเรือนมาเป็นตัวสร้างให้เกิดปัญหา และในการพูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสวีเดน ก็กังวลกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นการทำให้เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ซึ่งตรงนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศควรจะเป็นไปในทิศทางใด”นายมาริษ กล่าว
นายมาริษ กล่าวอีกว่า ตนจะไปชี้แจงกับที่ประชุมของสหประชาชาติ ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 27 ส.ค.นี้ ก็จะนำประเด็นดังกล่าวหยิบยกขึ้นแสดงความห่วงกังวลว่าการใช้วิธีเอาพลเรือนมาเป็นตัวกดดัน หรือมาสร้างความตึงเครียด หรือขยายความตึงเครียดบริเวณชายแดนมากขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ และเป็นการขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ กับความกฎหมายระหว่างประเทศ
เมื่อถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างรอยร้าวระหว่างไทยกับกัมพูชามากขึ้น จะสื่อสารอย่างไร ไปถึงประชาชนในพื้นที่ นายมาริษ กล่าวว่า ไทยกับกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ชายแดนติดกันมานานแล้ว ซึ่งในประวัติศาสตร์ก็มีการกระทบกระทั่งการเป็นธรรมดา หากเปรียบเทียบก็เสมือนกับคนในครอบครัวที่ มีการกระทบกระทั่งกัน แต่ต้องตระหนักว่าสุดท้ายก็จะต้องอยู่ร่วมกัน ดังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงว่าจะทำอย่างไรต่อไปให้คนรุ่นหลังได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งเป้าหมายของรัฐบาลไทยต้องการเห็นการพูดคุย และหาทางออกแบบสันติวิธี
เมื่อถามว่าไทยกับกัมพูชาจะกลับมายกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันได้หรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า กัมพูชาต้องแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา เพราะแม้ขณะนี้ไม่มีการกระทบกระทั่งกันทางทหาร แต่ยังมีการใช้พลเรือนเป็นโล่มากดดัน ทำให้เรายังไม่มีความเชื่อมั่นว่ากัมพูชามีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหา จึงยังจะไม่ส่งเอกอัครราชทูตไทยกลับไปประจำที่กัมพูชา แต่ขณะนี้ได้ติดตามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เรามีความมั่นใจว่าเขามีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน เราก็จะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือน ก.ย.นี้ นายมาริษ กล่าวว่า มีเป้าหมาย สำคัญอยู่สองด้าน คือวางแนวทางที่จะเจรจากันในเรื่องของเขตแดน และต้องพูดคุยกันเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างกัน รวมทั้งเรื่องของการใช้ประชาชนและพลเรือนมากดดัน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ดังนั้นต้องมีการพูดคุยกัน เพื่อแก้ไขปัญหานี้.