“พริษฐ์” อภิปรายขอหั่นงบหลักสูตร บยส. ศาลยุติธรรม 16 ล้าน
“พริษฐ์” อภิปรายขอหั่นงบหลักสูตร บยส. ศาลยุติธรรม 16 ล้าน ชี้สุ่มเสี่ยงสร้างระบบอุปถัมภ์-กระทบความเป็นอิสระศาล
วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 วาระที่ 2 และ 3 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายขอปรับลดงบประมาณในมาตรา 31 หน่วยงานของศาล ในส่วนของโครงการหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บยส.)
พริษฐ์กล่าวว่าที่ผ่านมาหลักสูตรการฝึกอบรมของหน่วยงานรัฐมักถูกวิจารณ์ว่าสุ่มเสี่ยงก่อให้เกิดระบบอุปถัมภ์มากกว่าเดิม เนื่องจากหลักสูตรส่วนใหญ่มักมีผู้เข้าร่วมเรียนที่มาจากองค์กรที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบกันและกัน เช่น การมีทั้งนักการเมืองและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาเรียนร่วมกัน หรือมีผู้เข้าเรียนจากองค์กรที่เสี่ยงเอื้อประโยชน์ให้แก่กันและกัน เช่น บริษัทผู้รับเหมากับหน่วยงานรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการ เป็นต้น
ซึ่งหนึ่งในหลักสูตรที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากคือหลักสูตร บยส. ของศาลยุติธรรม ที่ปีนี้มีการขอรับงบประมาณมาอยู่ที่ 16 ล้านบาท ซึ่งตนจำเป็นต้องสงวนความเห็นและทักท้วงการจัดสรรงบประมาณและตัวหลักสูตรดังกล่าว เนื่องจากสถาบันตุลาการเป็นองค์กรที่ประชาชนคาดหวังให้ทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง เป็นอิสระ และปราศจากอคติ การที่ผู้เรียนซึ่งเป็นผู้พิพากษาจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียนที่เป็นบุคคลภายนอก แม้จะไม่ได้เป็นความผิดในตัวเอง แต่ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นทันทีหากผู้เรียนที่เป็นบุคคลภายนอกในอนาคตกลายเป็นคู่ความในคดีที่ผู้พิพากษาที่เรียนร่วมกันเป็นผู้พิพากษาในคดีดังกล่าว
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ สถาบันตุลาการเป็นองค์กรที่จำเป็นต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเองในสายตาสังคม ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ว่าผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมหรือไม่ แต่ยังขึ้นกับว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นหรือไม่ หรือขึ้นกับว่า ผู้พิพากษาถูกมองว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมด้วยหรือไม่ หากภาพลักษณ์ดังกล่าวจะถูกกระทบจากหลักสูตรเหล่านี้ ก็ย่อมทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมถูกกระทบตามไปด้วย
หากประโยชน์ที่ผู้ร่วมเรียนและสังคมจะได้รับจากหลักสูตรเหล่านี้เป็นที่วัดผลได้ยาก หรือไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยงต่อความเป็นอิสระและภาพลักษณ์ความเป็นอิสระของผู้พิพากษา การเดินหน้าหลักสูตรเช่นนี้อาจจะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่าปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาที่ถูกตั้งคำถามจากคนนอกสถาบันตุลาการเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่ผู้พิพากษาบางส่วนเองก็มีความกังวลเช่นกัน เมื่อเดือนมกราคม 2568 มีผู้พิพากษาศาลฎีกา 2 ท่านได้ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกา เรียกร้องให้มีการยกเลิกหลักสูตร บยส. รวมถึงเรียกร้องให้มีการกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรของหน่วยงานอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน ต่อมาเมื่อเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2568 มีการทำแบบสำรวจผู้พิพากษา มีผู้มาตอบแบบสอบถาม 1455 คน ซึ่ง 87% ของผู้ตอบเห็นว่าหลักสูตร บยส. นั้นกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้พิพากษา และ 82% เห็นว่าสมควรที่จะยกเลิกหลักสูตร บยส.
ตนจึงเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรปรับลดงบประมาณในส่วนของหลักสูตร บยส. โดยอาจพิจารณาได้สองแนวทาง คือ การตัดลดงบประมาณออกทั้งหมด 16 ล้านบาท เพื่อนำไปสู่การยกเลิกหลักสูตร บยส. ในปีนี้ หรือหากยังเห็นความจำเป็นในการมีอยู่ของหลักสูตร บยส. ตนก็เสนอให้พิจารณาปรับลดงบประมาณของหลักสูตรออกบางส่วน เพื่อปรับรูปแบบของหลักสูตรให้ใช้งบประมาณน้อยลง และลดความเสี่ยงต่อความเป็นอิสระของผู้พิพากษาให้เหลือน้อยที่สุด เช่น อาจปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้เป็นออนไลน์มากขึ้น เพื่อลดกิจกรรมสันทนาการระหว่างผู้ร่วมเรียน หรือเปลี่ยนจากหลักสูตรที่รับผู้เข้าเรียนเป็นรุ่นมาเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหัวข้อและผู้เข้าร่วมเป็นครั้งตามความเหมาะสม
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ยังอาจพิจารณาปรับเรื่ององค์ประกอบของผู้เรียน โดยแยกชัดเจนระหว่างกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นผู้พิพากษาจากภายในองค์กรกับกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นบุคคลภายนอก หรือการเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับประโยชน์ที่สังคมจะได้รับจากหลักสูตรนี้ เช่น การเผยแพร่คลิปการสอนจากหลักสูตร บยส. หรือการลดความเสี่ยงต่อความเป็นอิสระของผู้พิพากษาหลังจากเรียนหลักสูตรนี้จบไป เช่น การจัดเก็บฐานข้อมูลผู้เรียนเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้พิพากษาคนใดได้ปฏิบัติหน้าที่ในคดีความที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่เคยเรียนร่วมกัน
ตนเข้าใจดีว่านอกเหนือจากหลักสูตร บยส. ประเทศไทยยังมีอีกหลายหลักสูตรของหน่วยงานอื่นที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน ซึ่งตนก็มีจุดยืนเดียว แต่เมื่อหลักสูตร บยส. เป็นหลักสูตรที่ตนเคยได้มีโอกาสหารือกับผู้บริหารหลักสูตรโดยตรง ไม่ว่าจะในคณะกรรมาธิการงบประมาณ หรือคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง และในเมื่อหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่มีการเรียกร้องจากภายในองค์กรให้มีการยกเลิกหรือทบทวนหลักสูตรอย่างชัดเจน
ตนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากศาลยุติธรรมจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการแก้ไข ปัญหาเรื่องของระบบอุปถัมภ์ในประเทศไทย โดยการยกเลิกหรือทบทวนหลักสูตรดังกล่าว ตนเชื่อว่าความกล้าหาญของผู้บริหารศาลยุติธรรมนั้นจะได้รับความชื่นชมจากหลายภาคส่วนในสังคม และจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริหารของหน่วยงานอื่นที่มีการจัดหลักสูตรในลักษณะคล้ายๆ กัน เดินตามความกล้าหาญของศาลยุติธรรมเช่นกัน