ย้ำความจริงเท่านั้นจะพิสูจน์ “วิกฤติไทย–กัมพูชา” สะท้อนบทบาทข่าวสาร ในสมรภูมิความขัดแย้ง
วันที่ 20 ส.ค. เวลา 10.00 น. ที่ ห้อง Botanic ชั้น 5 โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนา หัวข้อ “สมรภูมิข่าวสารในวิกฤติความขัดแย้งไทย-กัมพูชา” โดยมีวิทยากรผู้บรรยาย ประกอบด้วย ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ดร.สังกมา สารวัตร สาขานิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร พลตรี ธีรวุฒิ วิทยากรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และนายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวไทยพีบีเอส
จุดเริ่ม “ไฮบริดวอร์แฟร์”
เริ่มต้น พลตรี ธีรวุฒิ กล่าวว่า ในช่วงเป็นนักเรียนทหาร คอนเซปต์การรบสมัยสงครามเวียดนามต้องเรียกว่า เราใช้การรบในรูปแบบใช้หน่วยทหารภาคพื้นกับทางอากาศผสมผสานกัน แต่ปัจจุบันคอนเซปต์ “Hybrid Warfare” หรือเรียกว่า สงครามลูกผสมได้เกิดขึ้นมาแล้ว เห็นได้จากการเมือง สังคม หรือการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นส่วนหนึ่งของไฮบริดวอร์แฟร์ อย่างประเทศจีนและสหรัฐฯ ก็รบกันด้วย “ชิปวอร์”
พลตรี ธีรวุฒิ กล่าวว่า ส่วนหัวข้อในวันนี้คือเรื่องสงครามข่าวสาร จึงข้อยกรายงานจาก World Economic Forum 2025 พบว่า ปัญหาที่สำคัญที่สุดของโลกในปัจจุบันคือเรื่อง Misinformation (ข้อมูลที่ผิด) Disinformation (ข้อมูลเท็จ) กลายเป็นปัญหาที่กระโดดเข้ามาเกินอันดับที่ 10 มาเป็นอันดับที่ 1 แต่ในอันดับที่ 3 เป็นปัญหาเรื่องการรบกัน ส่วนเรื่องภัยไซเบอร์อยู่ในอันดับที่ 5
“โดยเฉพาะสมรภูมิไซเบอร์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนตั้งแต่ปี 2022 มีการโจมตีทางไซเบอร์กันมาแล้วพอสมควร ทำให้โครงสร้างพื้นฐานและระบบสารสนเทศใช้การไม่ได้” พลตรี ธีรวุฒิระบุ
พบภัย “ไซเบอร์” โจมตีไทย
พลตรี ธีรวุฒิ กล่าวว่า ส่วนในประเทศไทย ทาง สกมช. ได้เฝ้าระวังภัยคุกคามในมิติภัยไซเบอร์ ตั้งแต่ก่อนเหตุปะทะชายแดนที่เกิดขึ้นในเดือน ก.ค. หลังจากมีความขัดแย้งมาตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสื่อมวลชนจะทราบดีว่ามีมิติรบกันทางไซเบอร์พอสมควร โดยมีกลุ่มสนับสนุนกัมพูชามาโจมตีในรูปแบบต่างๆ กับหน่วยงานไทย ตั้งแต่การทำให้ระบบต่างๆ ใช้งานไม่ได้ หรือการเข้าถึงข้อมูล การเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บไซต์ หรือเพจเฟซบุ๊ก เป็นการดำเนินการคู่ขนานกันก่อนจะมีการรบที่ชายแดน จากนั้นในช่วงการรบก็มีสถิติภัยไซเบอร์เกิดขึ้นพอสมควร ซึ่ง สกมช.ได้เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาเหล่านี้
ชมสื่อไทยทำหน้าที่ได้ดี
ส่วนเหตุปะทะที่เกิดขึ้นสื่อมวลชนของไทย ทำหน้าที่เป็นอย่างไรบ้างนั้น พลตรี ธีรวุฒิ มองว่า ส่วนตัวเป็นคนชอบเสพสื่อในแพลตฟอร์มต่างๆ จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ในฐานะคนเสพสื่อมองว่า สื่อไทยค่อนข้างระมัดระวังด้านความมั่นคง โดยมีคำชม 4 เรื่อง 1.การไม่ลงภาพทางการทหาร ทำให้กัมพูชาไม่รู้ที่ตั้งทางการทหารในประเทศ เป็นสิ่งที่สื่อไทยทำได้ดีมากในการให้ความร่วมมือกับทางทหาร 2.เรื่องมนุษยธรรมที่ผ่านมาสื่อไทยมีการเบลอรูปและใช้ภาพอย่างเหมาะสม ถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้เสียชีวิตตามหลักมนุษยธรรม 3.ในช่วงที่มีข้อมูลเท็จออกมาจำนวนมาก สื่อไทยรวมตัวกันตรวจสอบข้อมูล ตั้งแต่การทำหน้าที่ของ Thai PBS Verify หรือ Cofact ซึ่งทำออกมาได้ดี ตรงนี้ต้องชื่นชมอย่างมาก และ 4.ข่าวไซเบอร์ ทาง สกมช.ได้ขอความร่วมมือ ไม่ให้สื่อไทยเผยแพร่ข้อมูลจากฝั่งกัมพูชา เพราะไม่อยากให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ออกมาตรงนี้
พลตรี ธีรวุฒิ กล่าว ส่วนข้อกังวลที่มีนั้น เข้าใจดีว่าสื่อมวลชนต้องการสื่อสารออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีบางภาพที่หลุดออกไปบ้าง จากข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อย่างแน่ชัด นอกจากนี้หลายๆ สื่อ รวมถึงสื่อหลายแห่งยังมีลักษณะ Clickbait ทำในลักษณะเพื่อต้องการเรียกยอดอ่าน แต่พอเข้าไปอ่านกลับไม่ใช่แบบนั้น ยกตัวอย่างเรื่องไทยยึดเขาพระวิหาร ทั้งที่ความจริงมีการตัดสินไปแล้ว ในมุมมองเสพสื่ออาจให้ต้องปรับปรุง
พลตรี ธีรวุฒิ กล่าวด้วยว่า จากปัญหา Misinformation (ข้อมูลที่ผิด) Disinformation (ข้อมูลเท็จ) มีจำนวนมาก ทำให้เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ควรมีการตรวจสอบ เพราะในยุคปัจจุบันทุกคนเป็นสื่อได้ แต่ต้องมีความเป็นมืออาชีพ เพราะสื่อเป็นได้ทั้งอาวุธและเครื่องมือช่วย แต่อยากให้มองว่า อยากสื่อเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหามากกว่าการเพิ่มความเกลียดชัง
ส่วนกรณี “ไซเบอร์นอม” พลตรี ธีรวุฒิ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงกฎหมายไซเบอร์ระหว่างประเทศ มีหลายประเทศพยายามนำเสนอเข้ามาในเวทีสหประชาชาติ แต่ออกมาเป็นเรื่องไซเบอร์นอมก่อน เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติทางไซเบอร์ที่เหมาะสมร่วมกัน ส่วนนี้ทาง สกมช.ก็พยายามให้กลุ่มที่สนับสนุนไม่ละเมิดไซเบอร์นอม เพราะไซเบอร์เป็นอีกมิติหนึ่งที่ใช้ต่อสู้กัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ “ไซเบอร์นอม” (Cyber Norms คือ หลักปฏิบัติหรือบรรทัดฐานสากลในโลกไซเบอร์ที่ประเทศต่างๆ ยอมรับร่วมกันว่า จะไม่ทำอะไรบางอย่างและจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้โลกไซเบอร์ปลอดภัย ลดความขัดแย้ง และป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีสารสนเทศถูกใช้ทำร้ายกันเอง
คนไทยต้องสร้างภูมิคุ้มกัน
ด้าน ดร.ชำนาญ กล่าวว่า ในฐานะกองทุนพัฒนาสื่อฯ เราห่วงใยในเรื่องข้อมูลเท็จ จริงๆ ไม่อยากเรียกว่าเป็น Fake News เพราะไม่อยากให้ค่าว่าเป็น News แต่ปัญหาข้อมูลเท็จส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงมีผลกระทบในวงกว้างในแง่ของความรู้สึกนึกคิดของสังคม ซึ่งจริงๆ เราไม่เคยเจอในแง่ที่เรามีศัตรูที่เป็นผู้กระทำโดยรัฐ หรือ State Actor แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกและเชื่อว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะประเทศที่ใกล้ชิดกับประเทศมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นฟินแลนด์ ยูเครน หรือไต้หวัน เคยเจอปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง
“ที่จริงแล้วอาจเป็น New Normal ที่คนไทยจะต้องทำความคุ้นเคยและสร้างภูมิคุ้มกันว่า จะมาพัฒนาศักยภาพในการคัดกรองข่าวสารกันอย่างไร เพราะทุกวันนี้ยังมีการแยกกันไม่ออกระหว่าง AI Deepfake กับข้อมูลจริง ถ้าเรามองเห็นภาพอะไรขึ้นมาต้องวิเคราะห์ ทำ Geolocation ได้ หรือวิเคราะห์จาก Background ได้ว่า ภาพนี้เกิดจากชายแดนหรือไม่ ผมว่าต่อไปนี้การแยกข้อมูลเท็จจากข่าวจริง เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดัน เพราะเป็นภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่งให้สังคม” ดร.ชำนาญ กล่าว
สื่อเป็นเสาที่ 4 ของสังคม
ดร.ชำนาญ กล่าวต่อว่า ในฐานะที่กองทุนพัฒนาสื่อเป็นหน่วยงานส่งเสริม ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับอินฟลูเอนเซอร์มากมาย ในประเด็นรู้เท่าทันสื่อ เรื่อง Hate speech แต่หลังจากนี้ประเด็นเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤติ จัเป็นหัวข้อที่ต้องหยิบยกมาสนทนาเพิ่มเติม เพราะในหลายประเทศมีการพัฒนาเรื่องเหล่านี้
“ถ้าเทียบกับกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเผด็จการ ผมว่าสื่อเสรีในไทยถือว่าดีกว่า เพราะหากตั้งคำถามกลับไปว่า คนกัมพูชารู้หรือไม่ว่า ญาติพี่น้องทหารที่สูญเสียไปอยู่ที่ไหน แต่เรามีสื่อเสรีถือว่าเป็นเสาที่ 4 ของสังคมที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่ต้องกำหนดว่าจะหาวิธีการอย่างไรที่สื่อจะสามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และรักษาความมั่นคงของประเทศไปพร้อมกัน” ดร.ชำนาญ กล่าว
มาจากความขัดแย้งบางกลุ่ม
ส่วนการทำหน้าที้สื่อมวลชนในสถานการณ์เช่นนี้ควรเป็นอย่างไร ดร.ชำนาญ ยกตัวอย่างกรณีสมรภูมิฟอล์คแลนด์ สำนักข่าว BBC ที่ออกมาทำข่าว แต่ไม่ได้อวยรัฐบาลทั้งหมด แต่ได้รายงานถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ หรือชีวิตและทรัพย์สิน เพราะในเวทีโลกรับรู้ว่าอาร์เจนติน่าเป็นฝ่ายรุกรานก่อน ทำให้ต้องถามตัวเองก่อนว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเราต้องการอะไร ต้องเป็นยุทธศาสตร์ชาติ
“ถึงแม้ประเทศไทยจะได้ดุลทางการค้ามากมายสินค้าไทยเป็นที่ยอดนิยมในกัมพูชา หรือการมีแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย แต่ความขัดแย้งตรงนี้เราจะแยกประเทศออกจากกันได้หรือไม่ จึงต้องกลับมาคิดว่าความขัดแย้งครั้งนี้มาจากกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้นเอง ถ้ามองแยกให้เห็นก็จะพบว่าประชาชนไม่เกี่ยวข้อง อย่าพัฒนาจนเป็นความชังชาติ เพราะในระยะยาวยังต้องอยู่ด้วยกัน”ดร.ชำนาญ กล่าว
สนับสนุนตั้ง Fact-checking
ดร.ชำนาญ กล่าวด้วยว่า ถึงแม้ข้อมูลปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่สามารถตรวจสอบได้จากเครื่องมือต่างๆ ว่าเป็นภาพจากที่ไหน เป็นภาพจริงหรือไม่ และอยากให้สำนักข่าวต่างๆ สนใจเรื่องนี้ในการตั้ง Fact-checking ของตัวเอง เพราะจะเป็นฐานข้อมูลความถูกต้องเพื่อนำไปอ้างอิง โดยเฉพาะหากใครเจอข้อมูลใดไม่ถูกต้อง ก็สามารถแจ้งไปถึงสำนักข่าวนั้นได้
“สิ่งสำคัญจากบทเรียนนี้อาจไม่ใช่เรื่องการสื่อสารในทางสงคราม แต่จะทำอย่างไรให้สื่อสารเรื่องสันติภาพ แล้วนำประเด็นให้คนทั้ง 2 ฝั่งเห็นความสำคัญการอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติ และป้องกันสงครามในอนาคต” ดร.ชำนาญ กล่าว
ถ่ายทอดประสบการณ์พื้นที่จริง
ขณะที่นายก่อเขต กล่าวว่า หลังจากลงพื้นที่ชายแดน เห็นจากชิ้นงานที่ออกมาชัดเจนว่า ถูกกำกับโดยรัฐบาลตัวเองทำให้ข่าวสารมีเอกภาพมาก และเป็นไปเพื่อประโยชน์ในสงครามลูกผสม ส่วนสื่อของไทยถือว่าให้ความร่วมมือกับทางการฝ โดยเฉพาะการไม่เปิดเผยที่ตั้ง ไม่เปิดเผยการปฏิบัติการทางทหาร หรือภาพบังเกอร์ที่หลบภัยไม่ได้ถ่ายภาพกว้าง เพราะถ่ายให้เห็นแค่บังเกอร์เท่านั้น ส่วนด้วยเทคโนโลยีที่สื่ออาจคิดไม่ถึงว่า การถ่ายด้วยสมาร์ทโฟนแล้วนำไปแทร็กย้อนหลังได้ว่าเป็นพื้นที่ไหน อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามจะมาทำอะไรได้ ตรงนี้เองที่ชาวบ้านก็ไม่สบายใจ
“นักข่าวตอนแรกก็ถามว่า เราปกปิดขนาดนี้แล้วจะมีปัญหาอะไรอีกหรือไม่ เราไม่สามารถรายงานได้เลยใช่หรือไม่ว่า เพราะได้เห็นชาวบ้านหนีจากบ้านมาอยู่ในบังเกอร์ จนเป็นผลกระทบของฝ่ายพลเรือนในความขัดแย้งครั้งนี้” นายก่อเขต กล่าว
นายก่อเขต กล่าวว่า ที่ยกตัวอย่างมาให้เห็นเพราะว่าเราไม่เคยเจอสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว ไม่ได้ทราบว่าสิ่งใดต้องระมัดระวัง แต่ก่อนสื่อจะรู้ว่า ไม่ควรรายงานจุดไหน แต่ขณะนี้มีรายละเอียดมากไปกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มาอยู่ในศูนย์พักพิงก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภาพที่ออกไปอาจดูแล้วไม่ดี อาจต้องเบลอหน้าบ้าง เพราะในแง่การบอกเล่าคุณค่าข่าวต้องยอมตรงนี้
“ทั้งหมดที่เล่ามาจะบอกว่า มีอะไรใหม่ๆ ต้องเรียนรู้ และปรับตัวกับสถานการณ์ครั้งนี้เช่นเดียวกัน” นายก่อเขต กล่าว
เปิดสมรภูมิข่าวสาร
นายก่อเขต กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อันดับแรกต้องดูก่อนว่า เรามีกี่สนามรบ ที่เรียกกันว่า Hybrid Warfare ซึ่งมาจากหลายสถานการณ์ ตั้งแต่ด้านการทูต ข้อมูลข่าวสาร การทหาร หรือเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้การสู้กัน เราใช้ปฏิบัติการทางอากาศไปยังที่ตั้งทางการทหารของฝ่ายตรงข้ามที่มีความจำเป็น โดยเน้นไปที่เป้าหมายทางการทหารเท่านั้น สื่อต้องนำเสนอออกไปอย่างน่าเชื่อถือ
นายก่อเขต กล่าวว่า สำหรับ Thai PBS ให้ความสำคัญกับการรายงานข่าวชายแดนในหลายมิติ นอกเหนือจากปฏิบัติการทางทหาร แต่จะเน้นไปที่ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ถึงแม้จะเป็นคำธรรมดามาก แต่มีความหมายและยิ่งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบกับคนในพื้นที่ ตั้งแต่การค้าขายชายแดนที่มีกว่าแสนกว่าล้านจะเป็นอย่างไรต่อไป หรือชาวบ้าน 2 ประเทศจะเป็นอย่างไรต่อไป
นายก่อเขต กล่าวด้วยว่า ส่วนมิติความมั่นคงไม่ใช่แค่การทหาร เราอาจบรรลุเป้าหมายทางความมั่นคงในพื้นที่ แต่เป้าหมายทางยุทธศาสตร์คืออะไร ถ้าต่อไปมีเหตุปะทะขึ้นมาอีก การปฏิบัติการในทางลึกจะเป็นอย่างไร จะต้องเตรียมการระหว่างการคุยกับคนในประเทศและต่างประเทศที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งของเรา ต้องเข้าใจว่าเป็นปฏิบัติการทางทหารตามความจำเป็น โดยจะต้องเป็น Single messages ที่ออกมาต้องเป็นเอกภาพชัดเจน และต้องมีรายละเอียดว่าต้องใช้กับอินฟลูเอนเซอร์ตรงไหน ส่วนสื่อหลักต้องเสนออะไร รัฐบาลจะพูดอะไร
สร้างเอกภาพ Single messages
“จุดสมดุลที่ว่าไม่ใช่แค่พื้นที่และคนเท่านั้น แต่อยู่ที่จิตใจ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเราเรียกว่า เป็นความขัดแย้งที่กระทบต่อชีวิตผู้คนในพื้นที่ ถ้าทำให้เห็นว่ามีคนของคุณทำให้เดือดร้อนทั้งประเทศ จะนำไปสู่เรื่องปฏิบัติการพิเศษ 7 ขั้นตอน ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในประเทศของเขา โดยที่ไม่ต้องเกิดการปะทะและการสูญเสียทางทหาร ผมเชื่อว่าขณะนี้ยังดำเนินการกันอยู่ แต่เราชัดเจนแบบนี้ให้เหมือนกัน น่าจะเป็นประโยชน์ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่เป็นประโยชน์ในสันติภาพระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศ” นายก่อเขต กล่าว
นายก่อเขต กล่าวว่า เรื่อง Single messages เป็นสิ่งสำคัญ แต่จะเกิดขึ้นหลังจากเจตจำนงทางการเมืองจากรัฐบาลก่อน เช่น รัฐบาลว่าอย่างไรต่อกรณีนี้ ถ้ารัฐบาลบอกรีบหยุดยิง แต่ถ้าทหารบอกเอาแล้วเหรอ มันกำลังนะ ก็อาจเกิดความไม่เป็นเอกภาพทางความคิดขึ้นมาทันที ดังนั้นรัฐบาลต้องทำความเข้าใจร่วมกันกับแม่ทัพนายกอง หลังจากนั้น Single messages จึงเกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายอย่างไรกับคนในประเทศและนอกประเทศ
“ถึงเราจะช้ากว่าฮุนเซน ถึงแม้เขามี Single gateway ที่เราอาจเสียเปรียบ แต่ถึงข้อมูลเราจะช้ากว่า แต่น่าเชื่อถือกว่า ไม่มี Fake News สามารถตรวจสอบได้ความชัดเจนได้มากกว่า เมื่อเทียบกับของเขาที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ” นายก่อเขต กล่าว
นายก่อเขต กล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกฝ่ายซึ่งหมายถึงรัฐบาล ทหาร หรือสื่อมวลชน มองเป้าหมายร่วมกันจริงๆ และพยายามไปถึงจุดนั้น ถึงแม้จะมีบางส่วนไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องรับฟัง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราจะอ่อนข้อหรือเป็นการยอมให้ แต่ความมั่นคงไม่ใช่แค่รบชนะอย่างเดียว แต่การชนะคือการไม่รบแล้วมาพูดคุยกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความคาดหวังของสื่อมวลชนอยู่แล้ว
โซเชียลมีเดียปั่นความเกลียดชัง
ด้าน ดร.สังกมา กล่าวว่า ตั้งแต่มีสถานการณ์กัมพูชา เด็กๆ ที่สอนเคยเล่าให้ฟังว่า ไม่ได้นอนเพราะต้องช่วยปั่นแฮชแท็กทั้งคืน ก็เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ นอกจากความสนใจที่เกิดขึ้น ข่าวที่เด็กๆ ได้มาเป็นแบบไหน ขณะนี้เรื่องไทย–กัมพูชาถูกพูดถึงในระดับอาเซียน โดยเฉพาะ ดร.วิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ ออกมาพูดว่า โซเชียลมีเดียเป็นตัวปั่นทำให้เกิดความเกลียดชังอย่างรุนแรง และเกิดการคลั่งของกลุ่มปีกขวาอย่างรุนแรง ซึ่งแต่ละคนมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกัน แต่ถ้าอยู่ตรงกลางก็จะเป็นพื้นที่ที่สื่อจะทำหน้าที่ให้สามารถคุยกันได้
ดร.สังกมา กล่าวว่า แต่ RMIT มหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย บอกว่าคนเจน Z ในจำนวนร้อยละ 40 ที่ตามข่าว ไม่ตามข่าวในกระแสหลัก แต่ตามจากอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้เกิดประเด็นว่าคนรุ่นใหม่เริ่มแชร์ข่าวจากส่วนนี้ แต่ต้องยอมรับว่าภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไป ทำให้คนแยกไม่ออก ถึงแม้จะดูจากอินฟลูเอนเซอร์ที่ย่อยข่าวให้ก็ตาม
กัมพูชาปิดกั้นเสรีภาพสื่อ
ดร.สังกมา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้คุยกับสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เขาพูดคุยกันพบว่า การออกข่าวของกัมพูชาได้เปรียบไทย เพราะขนาดสื่อต่างประเทศไปอยู่อย่าง CNN หรือ AFP ที่เดินทางไปก็ถูกปิดกั้นเสรีภาพ ตั้งแต่การกักตัวตามด่าน และถูกตรวจอุปกรณ์อย่างละเอียด เขายอมรับว่าเสรีภาพที่นั่นไม่ได้มีเท่าประเทศไทย
ดร.สังกมา กล่าวด้วยว่า การสื่อสารในช่วงภาวะวิกฤติต้องคิดแบบก้าวหน้า ต้องยิ่งตรวจสอบมากขึ้น ต้องยิ่งเปิดพื้นที่ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เหมือนที่พูดกันว่า ศึกครั้งนี้มี 4 แนว ตั้งแต่เศรษฐกิจ การทูต การทหาร สื่อ แต่ตอนนี้ได้รับคำชมจากสื่อมวลชนต่างประเทศว่า เป็นประเทศที่ไม่ได้มี Single gateway คือหมายความว่า เราไม่ได้โดนบล็อกแบบกัมพูชา อย่างไรก็ตาม จากที่กล่าวมาขอสรุปไว้ 3 คำ เป็นหลัก 3 เรื่องที่มาจากเหตุการณ์นี้ ประกอบด้วย 1. Information Warfare 2. Professional Journalism และ 3. People’s Voice
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO