รถไฟฟ้า20บาทสะดุด เลื่อนแล้วเลื่อนอีก! อ้างรอกฎหมายผ่านสภา
แม้มาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจะได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก แต่การเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 กลับพบปัญหาความไม่เสถียรของระบบ ทำให้ผู้ใช้หลายรายไม่สามารถเข้าถึงหรือลงทะเบียนได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ สร้างความไม่พอใจและเสียงบ่นจากผู้ที่ต้องการรับสิทธิ์นี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูล ณ เวลา 13.00 น.ของวันที่ 26 สิงหาคม 2568 พบว่ามีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 258,351 คน ซึ่งแบ่งเป็นผู้ที่ใช้บัตร Rabbit 146,546 คน และบัตร EMV 111,805 คน โดยกระทรวงคมนาคมยังมั่นว่าตัวเลขผู้ลงทะเบียนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าของนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยยืนยันว่าการบังคับใช้มาตรการนี้อย่างเต็มรูปแบบยังคงต้องรอให้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กรมการขนส่งทางราง, พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ผ่านการพิจารณาของทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอย่างสมบูรณ์เสียก่อน แม้ว่าในปัจจุบัน พ.ร.บ.ทั้ง 3 ฉบับจะอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาแล้วก็ตาม
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถประกาศใช้นโยบายนี้ก่อนกฎหมายจะผ่านได้ เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่าไม่สามารถนำงบประมาณจากงบกลางมาใช้ชดเชยส่วนต่างรายได้ให้กับเอกชนได้ เพราะไม่ใช่กรณีเร่งด่วน และไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยย้อนหลังได้เช่นกัน หากมีการเริ่มต้นมาตรการไปก่อนแล้ว ซึ่งทำให้ในขณะนี้ยัง “ไม่มีแนวทางอื่น” ที่จะสามารถผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นได้ก่อนกำหนดอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้กำหนดการเริ่มต้นใช้มาตรการนี้อย่างเป็นทางการต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 จากเดิมที่ประกาศใช้วันที่ 1 ตุลาคมนี้
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมระหว่างที่รอกระบวนการทางกฎหมาย กระทรวงคมนาคมจึงได้เดินหน้าเจรจากับ ผู้รับสัมปทานเอกชนเพื่อแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โดยตั้งเป้าหมายที่จะแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้นโยบาย 20 บาท จะส่งผลให้เอกชนต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้กับภาครัฐเพิ่มขึ้น เช่น รถไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้การกำกับสัญญาของ รฟม. เดิมสัญญากำหนดต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐ 15% เข้ากองทุน รฟม. หลังจากนี้จะต้องแบ่งจ่ายเพิ่มเติมอีก 25% ในส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากนโยบาย 20 บาท
ขณะที่ BTS เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว เดิมไม่ได้แบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐ หลังจากนี้จะต้องแบ่งจ่าย 25% ของรายได้ที่เกิดขึ้นจากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ปัจจุบันนี้มีประชาชนที่ใช้รถไฟฟ้าแต่ละวันมีมากกว่า 44 ล้านเที่ยวต่อวัน
“กระทรวงคมนาคมได้วางกรอบเวลาในการดำเนินการแก้ไขสัญญาไว้อย่างชัดเจน โดย รฟม.จะสรุปประเด็นการแก้ไขสัญญาภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ก่อนจะนำเสนอต่อคณะกรรมการบอร์ดในวันที่ 9 กันยายน 2568 และนำเข้าคณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาในวันที่ 16 กันยายน 2568 ซึ่งหลังจากนั้นจะส่งเรื่องให้อัยการตรวจสอบสัญญาภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2568 และคาดว่าจะเสนอต่อคณะกรรมการ PPP และคณะรัฐมนตรีได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยผู้รับสัมปทานรายใหญ่อย่าง BEM ได้แสดงเจตนาพร้อมให้ความร่วมมือในการแก้ไขสัญญาแล้ว ขณะที่กรุงเทพมหานครเองก็อยู่ระหว่างการเจรจากับ BTS เพื่อดำเนินการในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีเขียวเช่นกัน” นายสุริยะกล่าว
สำหรับ รถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง ที่ได้นำร่องใช้นโยบาย 20 บาทมาก่อนหน้านี้แล้ว จะยังคงอัตราค่าโดยสารนี้ต่อไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 ตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม โดยกระทรวงยืนยันว่าการดำเนินมาตรการดังกล่าวได้รับผลตอบรับที่ดีจากประชาชน และในอนาคตจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากนโยบายนี้ในทุกด้าน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายสามารถนำมาใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและครอบคลุมทุกเส้นทาง กระทรวงคมนาคมจำเป็นต้องผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) 3 ฉบับ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ ได้แก่1.ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. …. โดยร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายหลักที่จะมาอุดช่องว่างของการกำกับดูแลกิจการรถไฟในปัจจุบัน โดยจะรวมการกำกับดูแลทั้งรถไฟฟ้าของ รฟม. และรถไฟของ รฟท.เข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้กฎหมายฉบับเดียว ทำให้มีการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีความคล่องตัวมากขึ้นในการเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทาง
โดย เป้าหมายสำคัญของร่าง พ.ร.บ.นี้คือ การตั้งองค์กรกำกับดูแลกิจการรถไฟโดยเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและมาตรฐานต่างๆ การกำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุด ซึ่งจะทำให้สามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารร่วม เช่น นโยบาย 20 บาทตลอดสายได้ง่ายขึ้น การจัดระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัย ของระบบรถไฟทั้งหมดในประเทศ
2.ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบตั๋วร่วมให้สามารถใช้ได้กับระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภท ไม่ใช่แค่รถไฟฟ้าเท่านั้น แต่รวมถึงรถเมล์ เรือ และการขนส่งรูปแบบอื่นๆ ด้วย โดยจะมีการตั้ง สำนักงานระบบตั๋วร่วมแห่งชาติ เพื่อดูแลการดำเนินงานโดยตรง บทบาทสำคัญของร่าง พ.ร.บ.นี้คือ การสร้างแพลตฟอร์มกลาง สำหรับการชำระเงินค่าโดยสารที่เชื่อมโยงกันหมด การกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ยืดหยุ่น และการจัดสรรรายได้ระหว่างผู้ประกอบการอย่างเป็นธรรม และ การส่งเสริมให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายสูงสุด ด้วยการใช้บัตรหรือแอปพลิเคชันเพียงใบเดียวในการเดินทาง
และ 3.ร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับเดิมของ รฟม. เพื่อปรับปรุงอำนาจหน้าที่ขององค์กรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.นี้คือ การเพิ่มอำนาจให้ รฟม. ในการเจรจาและทำสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการรถไฟฟ้าได้คล่องตัวขึ้น การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและบทบาท เพื่อให้สอดรับกับกฎหมายใหม่ 2 ฉบับแรก และ การกำหนดขอบเขตในการทำธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มรายได้และลดภาระในการอุดหนุนจากภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการผลักดัน พ.ร.บ.ทั้ง 3 ฉบับนี้จะมีความล่าช้า และส่งผลให้การประกาศใช้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิม แต่การผ่านกฎหมายเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับระบบขนส่งมวลชนของประเทศในระยะยาว หลังจากนี้ต้องจับตาดูว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายระยะที่สองในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ได้ทันหรือไม่.