“ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” ดาวรุ่งค้าปลีก
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 26 สิงหาคม 2568 เวลา 22.24 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทนนทบุรี 26 ส.ค. – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย เทรนด์ใหม่ธรุกิจค้าปลีก “ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” (Vending Machine) ปี 2567 กวาดรายได้หมื่นล้าน ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้า 24 ชั่วโมง พร้อมรองรับการชำระเงินหลากหลายช่องทางทั้งเงินสดและดิจิทัล
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ปัจจุบันมี นิติบุคคลประกอบธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 760 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 5,962 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจาก รายได้ปี 2567 ที่สูงถึง 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.74% จากปี 2566
ธุรกิจนี้กำลังตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ในการสร้างรายได้ต่อเนื่อง
- รายได้ปี 2567 : 10,156 ล้านบาท ↑ 34.74%
- รายได้ปี 2566 : 7,538 ล้านบาท
- กำไรสูงสุดในรอบ 3 ปี (2565–2567) : 975 ล้านบาท
การลงทุนจากต่างชาติ : 619 ล้านบาท คิดเป็น 10.38% ของการลงทุนรวม โดย 3 ประเทศที่ลงทุนสูงสุด:
- ฮ่องกง — 455 ล้านบาท
- หมู่เกาะเคย์แมน — 76 ล้านบาท
- ออสเตรีย — 27 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:
- ความสะดวกสบาย: เข้าถึงสินค้าได้ทุกเวลา พร้อมเลือกช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย
- สังคมไร้เงินสด: ลูกค้าเลือกจ่ายผ่าน QR Code มากที่สุด รองลงมาคือเงินสด
- ทำเลทอง: ติดตั้งตู้กระจุกตัวในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ
- เทคโนโลยีขับเคลื่อน: นำ AI, ระบบชำระเงินดิจิทัล และการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคเข้ามาใช้
- การขยายหมวดสินค้า: เพิ่มสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น อาหารสุขภาพ, ผลไม้สด, และ สินค้าเฉพาะทาง
ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการทุกขนาด เพราะสามารถเลือกลงทุนได้หลายรูปแบบ เช่นลงทุนด้วยตนเองทำสัญญาแฟรนไชส์ เช่าเครื่องหรือร่วมลงทุนกับพันธมิตร
ข้อได้เปรียบสำคัญได้แก่ เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง ไม่ต้องจ้างพนักงาน สร้างรายได้ 24 ชั่วโมง และเป็นช่องทางกระจายสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่าจำนวนธุรกิจขยายตัวต่อเนื่อง โดยปี 2567 จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 86 ราย เพิ่มขึ้น 56.36% จากปี 2566 ส่วน 7 เดือนแรกปี 2568 จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 13 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 15.56 ล้านบาท
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการตามโครงสร้างธุรกิจดังนี้
- ขนาดเล็ก (S) 724 ราย = 95%
- ขนาดกลาง (M) 30 ราย = 3.95%
- ขนาดใหญ่ (L) 6 ราย = 0.79%
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าแนะนำว่า ผู้ประกอบการควร ปรับกลยุทธ์ให้ทันเทรนด์ เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันได้แก่พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการตรวจสอบระบบชำระเงินและตู้ให้พร้อมใช้งานเสมอจัดโปรโมชันและระบบสมาชิกเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ เลือกทำเลที่เหมาะสมเข้าถึงลูกค้าสร้างนวัตกรรมบริการใหม่ๆ เพื่อขยายฐานผู้บริโภค ดังนั้นธุรกิจนี้จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้น. -512 – สำนักข่าวไทย