‘เผ่าภูมิ’ เผยคลังเล็งปรับ GDP ปี 68 โตเกิน 2.2% มองปัจจัยบวกหนุน
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงาน Thailand Focus 2025 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันนี้ (27 ส.ค.) ว่า มีแนวโน้มที่กระทรวงการคลังจะปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัวได้เกินกว่า 2.2% ที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาด และยังมีปัจจัยบวกหลายด้านที่หนุนการเติบโต
“ในการประมาณการรอบถัดไป เรามีโอกาสปรับ GDP ปี 2568 ให้สูงขึ้นกว่ากรอบเดิมที่ 2.2% เพราะตัวเลขเศรษฐกิจหลายด้านสะท้อนสัญญาณที่ดีขึ้น เพียงแต่ยังต้องรอข้อมูลยืนยันที่ชัดเจน แต่ตอนนี้มีแนวโน้มดี” ดร.เผ่าภูมิกล่าว
ปัจจัยหนุนสำคัญ คือ อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ไทยได้รับในระดับ 19% ต่ำกว่าหลายประเทศคู่แข่ง สะท้อนความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับไทยมีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในประเทศ (Regional Value Content: RVC) ในระดับสูง ทำให้สินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เข้าข่ายได้รับอัตราภาษีต่ำดังกล่าว ส่งผลดีต่อการแข่งด้านราคา
นอกจากนี้ ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนศักยภาพในการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างผลักดันร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระ 1 ภายใน 2 สัปดาห์
ขณะเดียวกัน การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี ยังเป็นแรงสนับสนุนต่อเศรษฐกิจไทย โดยดร.เผ่าภูมิระบุว่า “ยังมีช่องว่างในการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป หากเห็นว่ามีความเหมาะสม
ด้านนโยบายการคลัง กระทรวงการคลังได้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว 1.3 แสนล้านบาท จากกรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท คาดว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจจริงในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 และไตรมาสแรกปี 2569 ขณะที่หนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงมาอยู่ที่ 64% เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ทำให้ยังมีพื้นที่สำหรับการดำเนินนโยบายการคลังเพิ่มเติมได้
ส่วนกรณีความกังวลทางการเมืองต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน ดร.เผ่าภูมิยืนยันว่า รัฐบาลมั่นใจจะบริหารราชการแผ่นดินครบวาระ 4 ปี “เมื่อมีความต่อเนื่องทางการเมือง นโยบายต่างๆ ก็สามารถเดินหน้าได้เต็มที่”
สำหรับภาระดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐบาล ปัจจุบันอยู่ที่ 9% ซึ่งยังต่ำกว่าเกณฑ์ความเสี่ยง แม้จะมีโอกาสปรับขึ้นหากเศรษฐกิจขยายตัวช้ากว่าคาด แต่ยังไม่กังวลว่าจะกระทบต่อเครดิตเรตติ้ง เนื่องจากสถาบันจัดอันดับพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรัฐบาล