“Neobank สิงคโปร์” เจอแรงต้าน ลูกค้าไม่ย้ายจากแบงก์ดั้งเดิม ขาดทุนพุ่ง 350 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
แม้จะเปิดตลาดด้วยดอกเบี้ยสูงและเทคโนโลยีทันสมัย แต่ 3 Neobank สิงคโปร์ GXS, MariBank และ Trust ยังไม่อาจดึงลูกค้าได้สำเร็จ ผลประกอบการปี 67 ขาดทุนรวมกว่า 350 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ขณะที่ธนาคารดั้งเดิมกวาดกำไรรวม 25,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
วันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลา 04.00 น. สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า แม้ธนาคารดิจิทัล (Neobank) จะทยอยเปิดให้บริการในสิงคโปร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงเลือกใช้บริการธนาคารดั้งเดิม เช่นเดียวกับ Eugina Sim ที่ให้เหตุผลชัดเจนว่า "ฉันไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมต้องย้ายบัญชี และบอกว่าเพื่อน ๆ รอบตัวก็ไม่มีใครใช้ธนาคารดิจิทัลทั้งสามรายเช่นกัน"
ทัศนคติที่เฉยเมยนี้เป็นอุปสรรคใหญ่ของธนาคารดิจิทัล ซึ่งเกิดขึ้นหลังการเปิดเสรีภาคการธนาคารในปี 2563 เมื่อธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่ธนาคารดั้งเดิมสามารถให้บริการทางการเงินได้โดยไม่ต้องมีสาขาจริง
โดย 3 ธนาคารดิจิทัล (neobank) ในสิงคโปร์ ได้แก่ GXS Bank, MariBank และ Trust Bank เปิดดำเนินงานมาเพียง 2–3 ปี แต่ปี 2567 กลับขาดทุนรวม 358.75 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 278 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตรงกันข้ามกับธนาคารดั้งเดิมยักษ์ใหญ่อย่าง DBS, OCBC และ UOB ที่ทำกำไรรวมกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในปีเดียว แม้ดอกเบี้ยขาลงจะกระทบรายได้ แต่ธนาคารดั้งเดิมก็ยังทำกำไรได้ ขณะที่ neobank ต้องเผชิญแรงกดดันทั้งด้านการแข่งขันและการขยายธุรกิจ
จาน ออนดรัส ศาสตราจารย์ด้านระบบสารสนเทศจาก ESSEC Business School Asia-Pacific ชี้ว่า การดึงลูกค้าให้เปลี่ยนบัญชีเงินเดือนจาก DBS ไปธนาคารดิจิทัลอายุน้อยไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ลูกค้าอาจเปิดบัญชีเพราะโปรโมชั่น แต่การใช้งานจริงกลับเป็นอีกเรื่อง
ในช่วงแรก neobank ดึงดูดผู้ใช้ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่าธนาคารดั้งเดิม แต่เมื่อดอกเบี้ยตลาดลดลง ความได้เปรียบนี้ก็เริ่มหายไป
ยูจีน ทาร์ซิมานอฟ จาก Moody’s Ratings อธิบายว่า ความท้าทายสำคัญของ neobank คือต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าคู่แข่ง แต่ปริมาณสินเชื่อยังต่ำ รายได้จากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจึงจำกัด ในขณะเดียวกันต้นทุนการดำเนินงานก็สูงเพราะอยู่ในช่วงขยายกิจการ
ด้านธนาคารดั้งเดิมเองก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง โดยลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยี เช่น DBS ที่ประกาศลงทุน 300 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในปี 2565 เพื่ออัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชันทางการเงิน เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า
ผู้นำของ GXS, MariBank และ Trust ยังยืนยันเดินหน้าขยายบริการเพื่อทำกำไร โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารดั้งเดิมไม่ครอบคลุม เช่น ฟรีแลนซ์ แรงงานกิ๊ก และคนเพิ่งเริ่มทำงาน ซึ่งมักไม่มีประวัติเครดิต neobank จึงเริ่มจากการปล่อยสินเชื่อวงเงินเล็กและประเมินพฤติกรรมชำระหนี้ก่อนเพิ่มวงเงิน
GXS ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Grab 60% และ Singtel 40% เปิดในสิงคโปร์ปี 2565 และขยายสู่มาเลเซียปลายปี 2566 โดยมีลูกค้า 200,000 รายในสิงคโปร์ และ 1.2 ล้านรายในมาเลเซีย โดยกว่า 80% มาจากฐานลูกค้าเดิมของ Grab และ Singtel แม้ยังขาดทุน 214.3 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในปี 2567 แต่คาดว่าจะคุ้มทุนในไตรมาส 4 ปี 2569 และมีกำไรในปี 2570
MariBank ของ Sea ใช้กลยุทธ์คล้ายกัน อิงฐานผู้ใช้ Shopee และขยายสู่ฟิลิปปินส์ผ่าน SeaBank Philippines ปีนี้ แม้ขาดทุนลดลงเล็กน้อยเป็น 51 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ แต่ยังไม่ระบุเป้าหมายคุ้มทุน นอกจากนี้ทั้งสองธนาคารยังเริ่มนำเสนอกองทุนตลาดเงิน (money market fund) เพื่อให้ลูกค้าได้ผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีเงินฝาก
Trust Bank ซึ่งมี Standard Chartered และ FairPrice Group หนุนหลัง เลือกเจาะกลุ่มผู้บริโภคคำนึงถึงความคุ้มค่า ด้วยโปรโมชั่นส่วนลดซื้อของในเครือ FairPrice ทำให้ในกุมภาพันธ์มีลูกค้าแตะ 1 ล้านราย และลดขาดทุนจาก 128.4 ล้าน เหลือ 93.4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในปี 2567
ซีอีโอ ดไวปายาน ซาธู ระบุว่าการใช้บัตรเครดิตและเดบิตของ Trust อย่างต่อเนื่องช่วยสร้างการเติบโตทางการเงิน แต่ยอมรับว่าความท้าทายคือการสร้างนวัตกรรมในตลาดที่ลูกค้ามีทางเลือกมากมาย
MAS ยืนยันว่าไม่มีแผนออกใบอนุญาต neobank เพิ่ม แต่ชี้ว่าการเกิดขึ้นของพวกเขาช่วยเพิ่มความหลากหลายและทางเลือกให้ผู้บริโภค อย่างไรก็ตามธนาคารดิจิทัลยังต้องพิสูจน์ศักยภาพด้านการบริหารความเสี่ยงและการทำกำไรในระยะยาว
สำหรับผู้ใช้บางราย ความตื่นเต้นต่อธนาคารดิจิทัลเริ่มจางลง เช่น เบนสัน ฮาน ผู้ประกอบการวัย 29 ปี ที่เคยเปิดบัญชี Trust และ MariBank เพราะดอกเบี้ยสูง แต่สุดท้ายยอมรับว่า “จริง ๆ แล้วไม่ต่างกันมาก…ผมแทบไม่ค่อยใช้เลย”
อ้างอิง : asia.nikkei.com