จับตา 15 ส.ค. DSI เสนอคดีหักหัวคิวแรงงานกัมพูชา 1.8 แสนคน เข้าบอร์ดให้มีมติ 2 ใน 3 พิจารณาเป็นคดีพิเศษ
จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ก.ค.68 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.ทินวุฒิ สีละพัฒน์ ผอ.กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ พ.ต.ท.ธนวัฒน์ วงศ์อนันต์ชัย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ นายจินกร แก้วศรี รอง ผอ.กองคดีการฟอกเงินทางอาญา และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ตรวจค้น 4 จุดเป้าหมายในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ เป็นผู้ดำเนินการรับต่อใบอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานสัญชาติกัมพูชา ย่านคลองสามวา กรุงเทพฯ เพื่อรวบรวมเก็บพยานหลักฐาน ขบวนการรีดหัวคิวแรงงานกัมพูชา รายละ 2,500 บาท จำนวน 1.8 แสนคน โดยพบว่ามีเส้นทางการเงินจากบัญชีม้าคนไทยและคนต่างด้าวเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา ทั้งยังพบความเกี่ยวข้องระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐของไทยและกัมพูชา ต่อมาพนักงานสืบสวนยังได้มีการเรียกสอบปากคำพยานต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มนายจ้าง ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน รวมถึงกรรมการบริษัทเอกชน ย่านคลองสามวา กรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่ได้ให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี นอกจากนี้ กลุ่มบัญชีม้าคนไทยในนามบุคคลและนิติบุคคลก็ได้มาให้ข้อมูลกับคณะพนักงานสืบสวนเรียบร้อยแล้ว ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. รายงานความเคลื่อนไหวภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยความคืบหน้า ว่า ภายหลังจากคณะพนักงานสืบสวนดำเนินการสอบสวนปากคำพยาน และรวบรวมพยานหลักฐานมาอย่างต่อเนื่องครบ 1 เดือน ขณะนี้คณะพนักงานสืบสวนที่ 27/2568 เตรียมนำสำนวนคดีสืบสวนเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ในวันที่ 15 ส.ค.นี้ เพื่อให้มีการอภิปรายข้อเท็จจริง เหตุสมควรเสนอให้คณะกรรมการฯ มีมติ 2 ใน 3 หรือ 15 ราย จากกรรมการทั้งหมด 22 ราย รับเป็นคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) หรือการเป็นคดีความผิดทางอาญาอื่น ในฐานความผิดฉ้อโกง-อั้งยี่ เนื่องด้วยไม่ใช่ฐานความผิดตามบัญชีแนบท้ายกฎหมายดีเอสไอ จึงต้องเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ด กคพ.
รายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุอีกว่า สำหรับเรื่องสืบสวนกรณีหักหัวคิวแรงกัมพูชา จนเป็นเหตุสมควรให้เสนอเข้าบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติ 2 ใน 3 พิจารณารับเป็นคดีพิเศษนั้น เนื่องจากได้มีคณะบุคคลมีพฤติการณ์ไปหลอกลวงบรรดาบริษัทจัดหางานซึ่งดำเนินธุรกิจในฐานะนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ นายจ้าง/ผู้ได้รับอนุญาต (บนจ.) ว่าจะต้องมีการจ่ายเงินของแรงงานต่างด้าวกัมพูชารายละประมาณ 2,500-2,550 บาท จึงจะต่อใบอนุญาตแรงงานผ่านระบบออนไลน์ เพื่อทำงานต่อภายในราชอาณาจักรไทยได้ หรือเรียกว่าเป็นการยื่นบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว (Name List) บันทึกเข้าสู่ระบบกระทรวงแรงงาน ซึ่งหากมีการจ่ายเงินดังกล่าวก็จะทำให้แรงงานเข้าถึงขั้นตอนอื่นถัดไปได้ เช่น การทำประกันสังคม การตรวจสุขภาพร่างกาย การทำหนังสืออนุมัติวีซ่าทํางาน (Calling Visa) เป็นต้น ทำให้เหล่านายจ้างต้องโอนเงินแทนค่าหัวคิวแรงงานกัมพูชาไปยังบัญชีธนาคารม้าปลายทางจำนวนมาก รวม 180,000 ราย เป็นเงินกว่า 450 ล้านบาท ถ้าไม่โอนจ่ายค่าส่วนต่างนี้ ระบบจะไม่สามารถอนุมัติได้ รายชื่อจะค้างอยู่แบบนั้น ทั้งนี้ คณะพนักงานสืบสวนได้สอบปากคำพยาน และพบว่ามีเส้นทางการเงินของเหล่านายจ้างที่ต้องโอนจ่ายค่าหัวคิวรายงานกัมพูชาไปยังบัญชีม้าปลายทางจริง จึงสรุปเบื้องต้นว่าเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง และอั้งยี่
รายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุต่อว่า กรณีที่มีการอ้างว่าจะต้องจ่ายค่าส่วนต่างเพื่อต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวทางระบบออนไลน์ โดยให้โอนเงินไปยังบัญชีปลายทางซึ่งเป็นบัญชีม้านั้น ถือเป็นการฉ้อโกง ด้วยเหตุที่ว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้ตกสู่แผ่นดินหรือเข้าหลวง แต่กลับไหลออกนอกระบบ เข้าสู่กระเป๋าของคนนอก ถือเป็นการหลอกลวงเอาเงินของผู้อื่น เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ กระทบต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี
รายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุด้วยว่า ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้กลุ่มนายจ้างสีขาวได้มีการเข้ามาให้ข้อมูลกับดีเอสไอว่า หลังจากที่ดีเอสไอดำเนินการสืบสวนเรื่องดังกล่าว ทำให้บรรดารายชื่อแรงงานต่างด้าวกัมพูชาที่ยังคงมีชื่อค้างอยู่ในระบบ กลับถูกอนุมัติต่อใบอนุญาตการทำงานในราชอาณาจักรต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าส่วนต่าง 2,500 บาท ตามที่กล่าวอ้างก่อนหน้านี้ เช่นนี้ก็ถือเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าจริง ๆ มันไม่ต้องจ่ายเงิน ระบบก็บันทึกข้อมูลต่อได้ อย่างไรหากมีการรับเป็นคดีพิเศษแล้ว คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ก็จะได้มีการไปสอบสวนถึงฟังก์ชันการทำงานของระบบบันทึกข้อมูลแรงงานต่างด้าวกัมพูชาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยส่วนประชาสัมพันธ์ รายงานว่า ด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย ประธานกรรมการคดีพิเศษ ได้เห็นชอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการคดีพิเศษ จัดการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ครั้งที่ 4/2568 ในวันศุกร์ที่ 15 ส.ค. เวลา 15.00-16.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยคณะกรรมการ ประกอบด้วย นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เจ้ากรมพระธรรมนูญ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายกสภาทนายความ และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง อีก 9 ราย ร่วมเป็นคณะกรรมการ และมี พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรรมการและเลขานุการ ในการประชุมมีวาระรับคดีอาญาเป็นคดีพิเศษ.