บพท. ดึงงานวิจัยรื้อกลไกรัฐ-จัดงบเร็ว รับวิกฤตความขัดแย้งชายแดน
วันนี้ (15 สิงหาคม 2568) ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า บพท.อยู่ระหว่างการถอดบทเรียน สถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา เพื่อจัดทำแนวทางการปรับปรุงกลไกภาครัฐ และการบริหารจัดการงบประมาณในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก่อนนำเสนอเป็นแผนให้หน่วยงานภาครัฐใช้เป็นคู่มือรองรับภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
"ที่ผ่านมาในความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา พบปัญหาเรื่องของบริหารจัดการ โดยเฉพาะกลไกของงบประมาณที่ลงไปในพื้นที่ เพราะเมื่อลงไปดูหน้างานจริง บางแห่งแค่ทำบังเกอร์ก็ยังเบิกงบไม่ได้ เพราะไม่ได้ถูกประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ ทำให้ต้องช่วยเหลือกันเองไปก่อน ต่อไปจึงจำเป็นต้องนำความรู้มาทำแผนจัดการภัยพิบัติให้ชัดเจน ซึ่งมหาวิทยาลัยหลายแห่งในพื้นที่มีพร้อม เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกจะได้ไม่มีปัญหา" ดร.กิตติ กล่าว
ดร.กิตติ กล่าวว่า ขณะนี้ยังได้ประสานกับปลัดกระทรวง อว. เพื่อดึงกระทรวง อว. เข้าไปอยู่ในกลไกของการภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สามารถดึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัยไปช่วยบริหารจัดการทั้งด้านงบประมาณ ด้านการจัดทำงานวิจัย ด้านการจัดทำองค์ความรู้ตั้งแต่ระดับนโยบายไปจนถึงระดับพื้นที่ว่าควรบริหารจัดการอย่างไร รวมไปถึงการจัดทำหลักสูตรรับมืออย่างชัดเจน เพื่อลดความสูญเสียและรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย
ส่วนการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมานั้น บพท.ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเข้าประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านการนำความรู้ของแต่ละมหาวิทยาลัยและข้อมูลแต่ละพื้นที่ไปบริหารจัดการภัยพิบัติ ทำให้ชี้เป้าว่าประชาชนที่ได้รับผลกระทบอยู่บริเวณใด รวมทั้งจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยส่งต่อให้กับหน่วยงานรัฐ เพื่อให้เข้าไปช่วยเหลือได้ตรงจุด
ดร.กิตติ กล่าวว่า จาการตรวจสอบข้อมูลผ่านการใช้งานวิจัยและกลไกความรู้ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา บพท.ได้เจอข้อมูลใหม่ว่า ในพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ หรือเจอน้ำท่วมซ้ำซากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเปราะบางและมีรายได้น้อยกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เบื้องต้น บพท.ได้ส่งต่อข้อมูลไปให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เพื่อวางแผนการช่วยเหลือ และจัดสวัสดิการต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด
"ในการแก้ไขปัญหาความยากจนที่ผ่านมาค้นพบว่า มีชาวบ้านที่ยากจนอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติซ้ำซากจำนวนมากที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ บพท.จึงได้ส่งต่อข้อมูล พร้อมทั้งปรับกระบวนการสร้างรายได้ด้วยการทำโมเดลการแก้จนสร้างอาชีพ หาทางปลูกพืชที่เหมาะสม หรือเปลี่ยนอาชีพใหม่ที่สร้างรายได้ที่เหมาะสม สุดท้ายคือรัฐต้องไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เขาอยู่ได้โดยไม่มีความเสี่ยงเหมือนเดิม" ดร.กิตติ ระบุ
อย่างไรก็ตามตัวอย่างของการนำความรู้ เพื่อจัดทำเป็นเทคโนโลยีจัดการภัยพิบัติล่าสุด
มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ได้สร้างนวัตกรรมจัดการภัยพิบัติ ผ่านเรือกู้ภัยอัจฉริยะ ซึ่งถูกใช้งานจริงเป็นครั้งแรกในการกู้ภัยช่วยเหลือประชาชนจากภัยน้ำท่วมใหญ่เมืองนราธิวาส เมื่อปี 2566 และใช้ต่อเนื่องในการกู้ภัยอีกหลายเหตุการณ์ในหลายพื้นที่ โดยเรือดังกล่าวทำจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ไม่จมน้ำ มีขนาดความยาว 2.90 เมตร กว้าง 1.10 เมตร รองรับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุด 290 กิโลกรัม
โดยภายในเรือติดตั้งอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวก ทั้งแผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ สำหรับเก็บประจุไฟฟ้าเพื่อจ่ายไฟฟ้าป้อนแก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งในเรือได้ต่อเนื่องกัน 7.5 ชั่วโมง วายฟายเราเตอร์ 4 จี รองรับอินเทอร์เน็ตทุกเครือข่าย กล้องความละเอียดสูง พร้อมไฟแอลอีดีสำหรับบันทึกภาพในที่มืด สปอร์ตไลท์แอลอีดี ขนาด 120 วัตต์ จำนวน 4 ดวง
ล่าสุดในงาน อว.แฟร์ ปีนี้ ได้มีการส่งมอบเรือจำนวน 6 ลำ ให้แก่ ศูนย์จัดการภัยพิบัติ "เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)" หรือ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย สำหรับจัดสรรไปใช้งานใน 6 พื้นที่ ครอบคลุมจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา นครพนม เชียงราย พิษณุโลก และน่าน