จับตา "ทรัมป์-ปูติน" เปิดโต๊ะเจรจา ชี้ชะตายูเครน-นิวเคลียร์ ที่อลาสกา
การพบกันระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในวันศุกร์นี้ ณ ฐานทัพอากาศยุคสงครามเย็นในรัฐอลาสกา กลายเป็นเวทีจับตาของโลก เนื่องจากเป็นการเจรจาแบบตัวต่อตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อหาทางหยุดยิงในสงครามยูเครน และอาจต่อยอดไปสู่ข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ฉบับใหม่ ซึ่งปูตินหยิบยื่นเป็นข้อเสนอในโค้งสุดท้ายก่อนการประชุม
ทำเนียบขาวระบุว่า การประชุมจะเริ่มเวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นอลาสกา (19.00 น. GMT) โดยครั้งนี้ไม่มีประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี เข้าร่วม แม้ทรัมป์จะกล่าวว่า หากการพูดคุยกับปูตินเป็นไปด้วยดี การจัดประชุมสามฝ่ายที่มีผู้นำยูเครนร่วมด้วยจะมีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังพยายามผลักดันการหยุดยิงเพื่อเสริมภาพลักษณ์ในฐานะผู้สร้างสันติภาพระดับโลก และหวังสร้างแต้มต่อสู่รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
แม้ยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปจะกังวลว่าทรัมป์อาจทำข้อตกลงที่กดดันคีฟให้ยอมอ่อนข้อ แต่การหารือผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาก็สร้างความอุ่นใจบางส่วน หลังมีการยืนยันว่าทรัมป์เห็นพ้องว่าการเจรจาใด ๆ ต้องมียูเครนเข้าร่วม และสนับสนุนแนวคิด “หลักประกันความมั่นคง” ในการจัดการหลังสงคราม แม้เจ้าตัวยังไม่พูดถึงต่อสาธารณะ
สำหรับปูติน การพูดคุยครั้งนี้ถือเป็นโอกาสลดแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรตะวันตกที่รัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ โดยนอกจากการหยุดยิงแล้ว เขายังเสนอโอกาสทำข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ใหม่ แทนข้อตกลงเดิมที่กำลังจะหมดอายุในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า แหล่งข่าวใกล้ชิดเครมลินระบุว่า ทั้งสองฝ่ายอาจหาข้อสรุปบางประการได้ เนื่องจากรัสเซีย “ไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธ” ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขหยุดยิงเต็มรูปแบบของปูตินยังเข้มงวด โดยหนึ่งในแนวทางประนีประนอมที่อาจเกิดขึ้น คือการหยุดโจมตีทางอากาศแบบเป็นขั้นตอน แม้ทั้งสองฝ่ายต่างเคยกล่าวหากันว่าละเมิดข้อตกลงก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์มองว่า ปูตินอาจใช้กลยุทธ์มอบสิ่งที่ทรัมป์ต้องการในภาพลักษณ์ แต่ยังคงความสามารถในการยกระดับสถานการณ์ในยูเครนได้หากต้องการ
ด้านเซเลนสกี ยืนยันปฏิเสธการยกดินแดนใด ๆ ให้รัสเซีย พร้อมมองว่าปูตินเพียง “ซื้อเวลา” เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ แต่ทรัมป์กลับระบุว่า การแลกเปลี่ยนพื้นที่อาจเป็นทางออกเพื่อลดความตึงเครียด ซึ่งเป็นประเด็นที่ยูเครนมองว่า “ไม่อาจยอมรับได้”
ขณะที่ปูตินยังคงตั้งเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน ทั้งการยึดครองภูมิภาคดอนบาสทั้งหมด การควบคุมแคว้นเคอร์ซอนและซาโปริซเซีย การตัดสิทธิ์ยูเครนจากการเป็นสมาชิกนาโต และจำกัดกำลังทหารยูเครนให้เหลือในระดับที่รัสเซียพอใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ยูเครนยืนยันว่าเท่ากับการยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข