อดีตพิธีกรชื่อดัง หายจากวงการไป20ปี กลับมาพร้อมบทบาทใหม่ เตรียมเป็นนักจิตบำบัดช่วยเหลือคน!
ห่างหายจากวงการไปถึง20ปี สำหรับ “อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์” อดีตพิธีกรชื่อดัง ที่กลับมาพร้อมบทบาทใหม่ในวงการบันเทิงอีกครั้ง กับการเป็นโปรดิวเซอร์ของซีรีส์เรื่อง "ความลับใต้เสื้อกาวน์" โดยล่าสุดในงานทำความรู้จักกับซีรีส์เรื่องดังกล่าว อุ๊ ได้เผยถึงชีวิตส่วนตัวที่หายไปจากวงการ อีกทั้งแง้มสิ่งที่เตรียมทำในอนาคต โดยอุ๊เผยว่า
“ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานเกือบ 20 ปีเลย เพราะช่วงหลังพี่ทำบริษัทเป็นของตัวเอง เป็นบริษัททำสื่อก็คือทำงานประชาสัมพันธ์โครงการสื่อสารทั้งหลาย ชื่อบริษัท AU Communication ก็รับโครงการที่เป็นของหน่วยงาน พี่เป็นที่ปรึกษาด้านการสื่อสารการประชาสัมพันธ์ให้กับหน่วยงานราชการ หรือมหาวิทยาลัย รวมทั้งแพทยสภาก็มีงานที่ทำร่วมด้วย โดยเฉพาะช่วงหลังๆ เวลาหน่วยงานทัวร์ลงก็ใช้บริการพี่ในการไปวางแผน ไปวิเคราะห์ว่าเคสนี้จะแก้ยังไง แล้วทุกวันนี้ก็ทำรายการวิทยุ แต่ช่วงหลังจะเริ่มยากลำบาก เพราะงานซื้อมันยากลงเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ ปรับตัวไป
และในเร็วๆ นี้พี่จะมีงานใหม่ หลายคนอาจจะไม่รู้ 20 ปีมานี้ พี่จะจับพลัดจับผลู พี่ไม่เคยวางแผนชีวิตนะ มันเหมือนชีวิตพาไป มีลูกน้องลากพี่ไปปฏิบัติธรรม โดยขอร้องให้พี่ไปเป็นเพื่อนพี่ไม่ได้อยากไป เลยไปรู้จักแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ที่เสถียรธรรมสถาน พี่เลยไปช่วยงานด้านสื่อทำให้พี่ได้ฝึกวิทยายุทธ์อันนึงคือการให้คำปรึกษาคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต แล้วกลายเป็นว่าพี่มีประสบการณ์ 20 ปีในการให้คำปรึกษา นั่งนับเคสเคยคุย 400 คน พี่ตกใจมาก พี่นั่งมองหาว่าจะมีงานอะไรนะที่ต่อยอดในความเป็นเรานอกจากงานสื่อก็เลยมาเจอเรื่องนี้ เลยไปปรึกษาจิตแพทย์ว่าพี่อยากพัฒนาฝีมือพี่ คุณหมอเลยแนะนำให้พี่ไปเรียนเป็นนักจิตบำบัด เป็นหลักสูตรหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ พี่สอบผ่านนะ กำลังจะเริ่มเรียน เป็นการบำบัดเชิงพฤติกรรม เป็นนักจิตบำบัดเลย แต่บำบัดด้วยเทคนิคนี้เท่านั้น เรียนหนึ่งปีเต็ม ต้องฝึกเคสจริง
ในอนาคตหวังว่าจิตแพทย์ที่รู้จักกันบอกว่าขอจองตัว เขาจะขอส่งคนไข้ให้พี่ เพราะคนเดี๋ยวนี้ป่วยเยอะ เวลาไปที่คุณหมอจิตแพทย์ต้องตรวจ ควรรักษาแบบไหน แต่ตอนทำทรีตเมนต์ต้องนั่งคุยเป็นชั่วโมง บางคนอาจต้องคุย 10 ครั้ง คุณหมอไม่มีเวลาที่จะทำ คนไข้จะเข้าคิวยาวมาก แต่ถ้ามีคนแบบเรามารับเคสต่อ ก็จะดูแลคนไข้ได้มากขึ้น อันนี้คืองานในอนาคตที่พี่อุ๊จะทำ ปัจจุบันพี่ก็ให้คำปรึกษา ตั้งกลุ่มกับเพื่อนที่รู้จักกันให้คำปรึกษาฟรี ด้วยวิธีแช็ตทาง LINE ชื่อ LINE @D-chat ทำมาเจ็ดปี”
อุ๊ เล่าต่อว่า “โดยตอนทำครั้งแรกงูๆ ปลาๆ พอทำไปสักหกเจ็ดปี หลังจากนั้นแม่ชีตั้งมหาวิทยาลัย ท่านตั้งหลักสูตรปริญญาโท โดนบังคับเรียนปริญญาโทพุทธศาสนา เราได้ฝึกการฟังให้คนได้ระบายสารพิษออก แล้วเราต้องมีเทคนิคในการสังเกตคนที่อยู่ตรงหน้าเรา มีศิลปะในการค่อยๆ แซะเข้าไป เพื่อจะให้เขาคลิกและหลุด พี่ฝึกอันนี้มาเกือบ 20 ปี ฝึกโดยประสบการณ์ มีคนจะฆ่าตัวตาย ตอนพี่ทำ LINE @ D-Chat แล้วน้องในทีมโทรมาพี่ประชุมอยู่ วางทุกอย่างไว้แล้วรับสาย ค่อยๆ คุยจนเขาวางมีด 1 ชั่วโมง เขารอดตาย แต่เราหมดพลังเลย พลังใจเวลาเราใช้มันดูดพลังกายนะ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้เรียนแบบจริงจัง ได้ประกาศนียบัตร จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ค่ะ
ซึ่งแต่ละเคสก็ใช้พุทธศาสนาเข้าไปเยียวยา ถ้าคุณไปถามจิตแพทย์ที่ศึกษาพุทธศาสนา เขาจะบอกเลยว่าวิธีการทางจิตวิทยากับพุทธศาสนา เหมือนกันเป๊ะ แต่คำอธิบายทางจิตวิทยามันเป็นฮาวทู แต่คำอธิบายพุทธศาสนาเป็นอีกภาษานึง และมีความลึกมากกว่า เพราะฉะนั้นที่พี่สตาร์ตจากแนวพุทธ ทำให้พี่เข้าใจ พี่ไม่ได้มีญาณอะไรนะ แต่พี่สามารถสังเกตคน เช่นคนที่มีสัญญาณของการทำร้ายตัวเอง เดินผ่านมาพี่ชี้เลย เวลาคุณมีความทุกข์จะมีพลังงานบางอย่าง ความหม่น แววตา การโฟกัสที่ไม่แข็งแรงเท่าคนจิตใจปกติ ถ้าเราฝึกที่จะสังเกตเรารู้ อีกอันนึงที่แม่ชีศันสนีย์สอนพี่ เราดมกลิ่นได้ กลิ่นลมหายใจของคนที่แบกโลกเอาไว้ในใจ มันจะมีความเหม็นแบบนึง เหม็นแบบคนทุกข์ เราเลยรู้ว่าเขาอาจจะต้องการเพื่อน ถ้าเราพร้อมเราอาจเป็นเพื่อนให้เขาได้ ที่ผ่านมาไม่เคยได้เงินนะคะ แต่ที่ไปเรียนหวังว่าในอนาคตน่าจะเป็นอีกอาชีพหนึ่ง เพราะนักจิตบำบัดคิวยาวมาก ถ้าพี่เรียนจบได้ใบประกาศสามารถเป็นนักจิตบำบัดในเทคนิค CBT ได้ จะเป็นอาชีพเสริมของพี่ในอนาคต
แถมพอคนมีปัญหาได้ระบายกับเราความรู้สึก…โห เหมือนขึ้นสวรรค์เลย ถามว่าเราไม่รับกลับมาใช่ไหมเกี่ยวกับเรื่องราวคนอื่น คือพี่ฝึกตัวเองนานที่จะเป็นกระโถน แต่ไม่ซึมซับ เราต้องเป็นกระโถนให้เขาถุยเลยนะ แล้วเราไม่ต้องไปแทรกแซงเขา การฝึกฟังจริงๆ ฟังโดยไม่ตัดสิน มันจะทำให้คนที่ทุกข์ใจเขาดีขึ้นทันที แต่การบ้านของเราคือสารพิษที่เขาปล่อยกลับมาทำยังไงจะไม่ให้ซึมเข้าร่างเรา อันนี้คือการจัดการจิตใจของเรา เป็นเทคนิคที่ต้องฝึก แล้วพี่ก็ศึกษาเรื่องของจิต ศาสตร์นพลักษณ์ที่ว่าด้วยเรื่องบุคลิกภาพด้านใน แพตเทิร์นทางจิตใจของมนุษย์ เดินมารู้เลยว่าพลังงานแบบนี้ มีไว้เพื่อออกแบบการสื่อสารกับคนนี้ยังไง แต่เคยใช้เวลาจะขายงานลูกค้า”
อดีตพิธีกรชื่อดัง เผยต่อว่า “ส่วนมีคนดังมาปรึกษาไหม ก็ไม่เชิง เรียกว่ามีมาคุยแลกเปลี่ยนบ้างช่วงมีความทุกข์ แต่โดยมารยาทพี่จะไม่พูดว่าเป็นใคร มีบ้างเป็นคนดัง แต่เคสที่ปรึกษาเป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่คนดัง ถ้าปรึกษาผ่าน LINE @ จะไม่เห็นหน้าเลย เขาจะไม่รู้ว่าคนที่ตอบแช็ตคือพี่ มีอาสาตอบ 20 คน จะไม่รู้ว่าเป็นใครจบแล้วจบเลย เปิดเผยเต็มที่ เคยมีคนมาปรึกษา ทำยังไงดีชอบมีเซ็กส์กับคนข้างบ้าน พี่ก็แบบแล้ววันนี้จะให้ช่วยอะไร เขาบอกอยากเลิกแต่เลิกไม่ได้ พี่รู้เลยว่ามันทุกข์มาก ตอนหลังพี่ไปถามจิตแพทย์ มันเป็นโรคอย่างนึงพี่ไม่รู้โรคอะไร มันเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง คือการมีความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์และไม่เลือกกับคนแปลกหน้า ไม่ใช่คู่นอนถาวร เดี๋ยวนี้คนป่วยทางจิตสารพัดรูปแบบ
อันนี้ความเห็นส่วนตัว คนมีปัญหาสุขภาพจิตเยอะ หนึ่งเพราะเราอาจมีชีวิตที่ไม่ลำบากเท่ากับยุคพ่อแม่เรา ภูมิต้านทาน ความแข็งแกร่ง การเผชิญน้อย มันเหมือนกับเราไม่แข็งแกร่ง เราไม่เคยเจอโจทย์ยากเราก็ไม่แกร่ง สองโซเชียลมีเดีย ทุกครั้งที่คุณใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากๆ มีผลต่อสุขภาพจิต เวลาไถต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แค่นี้มันทำให้พลังลบเกิดขึ้นในจิตใจแล้วนะ โซเชียลมันถูกออกแบบมาให้เราขี้อิจฉา แล้วถ้าเรื่องนั้นไปโดนปมชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบก็น้อยลงเรื่อยๆ ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุอะไรมากมาย มันเป็นแผล แผลในวัยเด็ก ผสมกับไปเห็นในโซเชียล
มนุษย์ก็ชอบดึงดูดสิ่งที่เป็นแผลเข้ามา เช่นถ้าใครมีแผลเรื่องความรัก พ่อแม่ไม่รัก เขาไถไปเจอเรื่องพ่อแม่ไม่รัก หรือการทำร้ายร่างกาย มันเหมือนเป็นจิตวิทยา รู้ว่าไม่ชอบแต่ดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามา จนกว่าเราจะมีสติจริงๆ ที่รู้ว่าเรากำลังตกเป็นเหยื่อ วัฏจักรบางอย่างข้างในเราเอง สามเราห่างไกลศาสนา เราเป็นพุทธในบัตรประชาชน เป็นพุทธบริจาคโอนเงินแล้วจบ เราไม่ได้ปฏิบัติ เพราะการเข้าใจศาสนาคือการเข้าใจสภาวะที่เกิดขึ้นว่าทุกครั้งที่เราปั่นป่วนเราจะสังเกตตัวเองไหมว่าเราปั่นป่วน เราจะมีวิธีทำให้ความปั่นป่วนมันเปลี่ยนแปลงหายไปได้ไหม ถ้าเราฝึกจนเราทำได้ เราก็จะคามดาวน์ตัวเอง เราจะไม่ป่วย แต่เรามีสิทธิ์มีความทุกข์นะ แต่จะไม่ยกระดับจากทุกข์ใจไปเป็นโรคจิตเวช พอสังคมวัดที่ความสำเร็จเงินทอง มีชื่อเสียง หนังหน้าต้องตึง พี่เลยไม่ได้ทำศัลยกรรมเลย ปล่อยมันไป เป็นการฝึกตัวเองเหมือนกันว่าเราอายุขนาดนี้รับความเสื่อมตัวเองได้ไหม ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นข้างใน แต่ถ้ากลับมาออกทีวีสงสัยต้องทำนะคะ (หัวเราะ) อันนี้เป็นตัวอย่างการใช้ชีวิตประจำวันของเรายังไงให้มีภูมิต้านทานในการใช้ชีวิต แล้วก็สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรา จนเรามีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น เราจะป่วยน้อยลง”
อีกทั้ง อุ๊ ได้เล่าต่อว่า “แต่ข่าวต่างๆทำให้เราห่างไกลจากตรงนี้ ถ้าคุณฉลาดทางอารมณ์ เช่นข่าวกัมพูชาข่าวชายแดน 2-3 วันแรกพี่มีอาการเลย พี่หยุดบริโภคข่าวสารเลย เพราะพี่สังเกตเห็นว่าพี่โมโหง่าย เพราะเรื่องนี้มันกระทบจิตใจ เพราะฉันรักชาติ แล้วเลือกเอาเฉพาะรายการข่าวที่เล่าข้อเท็จจริง รายการที่ผู้ประกาศหรือคนดำเนินรายการใส่อารมณ์เยอะๆ เราก็จะไม่ฟัง มันจะทำให้เราจิตตก อันนี้คือเทคนิค ถ้าเรารู้ว่าเราไม่ไหว ก็ต้องสร้างบรรยากาศที่มันจะช่วยเราเอง ถ้าไม่ทันเราจะถูกหลุดเข้าไปในรายการที่เขาขยี้เยอะๆ ไม่จำเป็นต้องทำร้ายตัวเองโดยการดึงพลังลบเข้าตัวตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่ในโซเชียลมีเดีย เพราะสุดท้ายคนที่ได้รับผลเสียที่สุดคือตัวคุณเอง เราต้องตั้งเป้าไว้ว่าเราจะไม่เป็นเหยื่อ เราจะใช้สื่อโดยการที่เราจะไม่เป็นเหยื่อในสื่อ เราจะเป็นนายโซเชียลมีเดีย
ก็อยากให้กำลังใจแฟนคลับ ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนก็ตาม ในฐานะนักบำบัดจิตใจในอนาคต และในฐานะโปรดิวเซอร์ ความลับใต้เสื้อกราวน์ ซีรีส์อันนี้จะเป็นหนึ่งตัวอย่างให้คุณเห็น ว่าคุณต้องจัดวางความเข้าใจของคุณยังไง ในการใช้ชีวิต แม้กระทั่งวงการแพทย์ ที่น่าเชื่อถือและศรัทธา ก็เรื่องบางเรื่องให้เราคาดไม่ถึง และไม่ใช่การเหมารวมว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วทุกคนจะเป็นหมด เปรียบเทียบได้เลย เหมือนวงการสงฆ์ สิ่งไม่ดีเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมดแย่หมด ถ้าเรามีต่อมแยกแยะเราจะมั่นคง เราจะใจสั่นน้อยลง อย่ามีความทุกข์เพราะความเลวของคนอื่นค่ะ ใครทำเลวก็ให้มันทุกข์ไป เราไม่ได้ทำเลวทำไมเราต้องทุกข์ ถ้าเราทุกข์เพราะความเลวของคนอื่นคุณมีปัญหาแล้วล่ะ คุณต้องจัดการที่ตัวคุณเอง
แล้วคนที่รู้แล้วว่าสิ่งนี้ไม่ดี แต่ยังเชื่อและให้กำลังใจ พี่ว่าอันดับแรกเราต้องไม่ด่ากัน คนที่มีความรักมั่นคงต้องน่าชื่นชมนะ ถ้าเขารักและศรัทธาใครสักคน เขาพร้อมเชื่อมั่นในคนๆ นั้น เป็นคุณสมบัติที่ดีนะ แต่โชคร้ายที่รักคนผิด และโชคร้ายที่ไม่บอกตัวเอง คนเรารักคนผิดได้นะ เพราะฉะนั้นก็เอาใจกลับมาอยู่ที่เรา แล้วอะไรที่ไม่ดีก็ปล่อยไป เหมือนมีแฟนแล้วไม่โอต้องเลิกนะคะ ไม่งั้นลูกค้าใหม่เข้าไม่ได้นะ (หัวเราะ)”