วิชารัฐมนตรี (7)
เนื้อหาหนังสือ "วิชารัฐมนตรี" ศาสตร์และศิลป์ของ "การนำ" ผ่านมุมมองเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนโดย ดร.ยุวดี คาดการณ์ไกล และณัฐธิดา เย็นบำรุง จัดทำโดยมูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ มีทั้งหมด 6 บท รวม 156 หน้า
บทที่ 5 (ต่อ)
รัฐมนตรีที่มีผลงาน
ด้วยกลยุทธ์การนำ
ㆍกลยุทธ์การต่างประเทศด้วยการสร้างความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ
การที่ประเทศไทยจะก้าวข้ามสถานะจากประเทศกำลังพัฒนาไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วนั้น จำเป็นต้องยกระดับการศึกษาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่การพัฒนาเพียงลำพังโดยการ "เดินทีละก้าว" อาจเป็นเรื่องที่ช้าและไม่ทันกาล ประเทศไทยต้องอาศัย "ตัวช่วย" ที่สำคัญ นั่นคือความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศที่มีศักยภาพสูงในด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา เพื่อสร้างพลังเสริมให้กับประเทศไทย
กลยุทธ์การต่างประเทศนอกจากการทำงานในระดับที่เป็นทางการแล้ว เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ" โดยเชื่อว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การต่างประเทศของกระทรวง อว. ประสบความสำเร็จอย่างมาก ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีระหว่างผู้นำได้สร้าง "ความประทับใจ" และ "มิตรภาพ" นำไปสู่ความไว้วางใจและความร่วมมือที่ราบรื่น มากกว่าความสัมพันธ์ที่จำกัดอยู่เพียงกรอบทางการ
ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางนี้คือ การที่รัฐมนตรี อว. ได้มีโอกาสดูแลต้อนรับนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาวอย่างใกล้ชิดเมื่อครั้งเดินทางเยือนไทย เนื่องจากเขาได้รับมอบหมายให้เป็นรัฐมนตรีเกียรติยศดูแลนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาว โดยเริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่เช้าจนส่งกลับเข้าที่พักโรงแรมในช่วงกลางคืน ความใกล้ชิดแบบไม่เป็นทางการนี้ สามารถสร้างความประทับใจ และเมื่อเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นำคณะผู้บริหารจากกระทรวง อว. ไปเยือน สปป.ลาวในภายหลัง เขาได้รับเกียรติให้เข้าพบผู้นำระดับสูง เช่น นายกรัฐมนตรี สปป.ลาวในฐานะ Visitor Attendance ซึ่งปกติระดับรัฐมนตรีจะมีโอกาสพบเฉพาะรัฐมนตรีคู่เจรจาเท่านั้น อีกตัวอย่างคือการเดินทางเยือนประเทศจีนในฐานะทีมรัฐมนตรีชุดแรกของไทยหลังสถานการณ์โควิด-19 การตัดสินใจเยือนจีนครั้งนี้ไม่เพียงแสดงถึงความกระตือรือร้นในการร่วมมือกับจีน แต่ยังสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างแท้จริง
การต่างประเทศที่มุ่งเน้นทั้งความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการนี้ ช่วยให้ความร่วมมือเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แน่นแฟ้นทำให้การเจรจาง่ายขึ้นและสร้างโอกาสที่ไม่สามารถหาได้จากการทำงานในกรอบทางการเพียงอย่างเดียว ความไว้วางใจที่เกิดขึ้นจากมิตรภาพระหว่างผู้นำยังช่วยให้การดำเนินโครงการระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น
ㆍกลยุทธ์การเลือกขุนพล
ในการบริหารกระทรวงหรือการทำงานในระบบราชการและงานสาธารณะ ผู้นำระดับสูง เช่น รัฐมนตรี มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและนโยบายของหน่วยงาน แต่ความสำเร็จของการดำเนินงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีเพียงลำพัง การมี "ขุนพล" หรือผู้บริหารระดับสูงที่มีความสามารถในการทำงานคู่เคียงกับผู้นำ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้หน่วยงานสามารถเดินหน้าไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงที่ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวง อว. เป็นช่วงที่กระทรวง อว. จะต้องแต่งตั้งปลัดกระทรวงคนใหม่ เขาตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกคนที่จะมาทำงานใกล้ชิดและเป็นกำลังสำคัญในกระทรวง เช่นเดียวกับแม่ทัพที่ต้องการขุนพลคู่ใจในการนำทัพสู่ชัยชนะ เขาเชื่อว่าผู้นำต้องมี "ตาถึง" ในการเลือกคน และการตัดสินใจเลือกคนไม่ใช่เรื่องที่ควรทำแบบลวกๆ หรืออาศัยเพียงแรงผลักดันจากผู้ที่มีผลประโยชน์เบื้องหลัง เขามีกลยุทธ์ในการเลือกขุนพลหรือผู้บริหารระดับสูงโดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถ ผลงานในอดีต ความทุ่มเท และการมี Passion ของบุคคลนั้น รวมถึงความสามารถใน "การตอบสนองผู้นำ" ได้
ดังนั้น ในการเลือก ศาสตราจารย์นายแพย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เป็นปลัดกระทรวง อว. ซึ่งเป็นผู้ที่มีทั้งความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และความเข้าใจในภารกิจที่สำคัญของกระทรวง อว. ไม่เพียงมีความรู้เชิงลึกด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ แต่ยังมีความเข้าใจด้านสังคมศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการบูรณาการงานด้าน
วิจัย นวัตกรรม และการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ ปลัดสิริฤกษ์ยังมีเครือข่ายการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศที่กว้างขวาง ช่วยให้กระทรวง อว.สามารถเชื่อมโยงความร่วมมือในระดับนานาชาติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการคัดเลือกและแต่งตั้งจะมีแรงต่อต้านและความพยายามในการล็อบบี้จากบางฝ่ายเพื่อขัดขวางการแต่งตั้ง จากคนที่ไม่ชอบไม่พอใจปลัดสิริฤกษ์ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รับฟังและพิเคราะห์อย่างรอบด้านแล้ว ยืนหยัดในสิ่งที่ตนเชื่อมั่น และเชื่อว่าการตัดสินใจที่เกิดจากความบริสุทธิ์ใจ โดยมุ่งเน้นประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แม้อาจมีคนที่ไม่พอใจก็ตาม ในฐานะผู้นำที่ทำงานใหญ่ ผู้นำต้องหนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่อกระแสความไม่เห็นด้วย ผู้นำต้องไม่กลัวคนเกลียด ผู้นำไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ หากทุกคนพอใจ นั่นแปลว่าผู้นำไม่กล้าตัดสินใจใดๆ
ผลลัพธ์จากการตัดสินใจครั้งนี้ เขาเชื่อว่า เลือกคนได้ถูกต้อง เพราะปลัดสิริฤกษ์ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผลักดันงานในกระทรวง อว. ให้เดินหน้าตามแนวนโยบายได้อย่างรวดเร็ว แม้หลายโครงการจะเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ปลัดกระทรวง อว.คนนี้สามารถสั่งการและประสานงานกับหน่วยงานในสังกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการที่มีระบบและตอบสนองต่อนโยบายของรัฐมนตรีได้ดี ทำให้หลายโครงการของกระทรวง อว. ที่เริ่มต้นในยุคของรัฐมนตรีเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประสบความสำเร็จ
ㆍกลยุทธ์น้ำทิพย์ชโลมใจ
"ลูกน้องคือมดงานสำคัญของการทำงาน" เพราะลูกน้องเป็นผู้ปฏิบัติงานหลักที่ทำให้นโยบายและเป้าหมายของหน่วยงานสำเร็จลุล่วงได้ "นายที่ไม่มีลูกน้องที่ดีก็นำไม่ได้ ทำงานไม่สำเร็จ" ผู้นำจึงต้องดูแลลูกน้องเพื่อให้พวกเขามีกำลังใจ ทุ่มเท และพร้อมที่จะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ยังมองว่า ลูกน้องไม่ใช่เครื่องจักรที่เพียงแค่ตั้งโปรแกรมแล้วจะทำงานได้ตามคำสั่ง แต่ลูกน้องคือลูกทีมที่ต้องการความใส่ใจในระดับที่ลึกซึ้ง ทั้งในเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว เพราะทุกคนล้วนมีปัญหาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัว ผู้นำที่ดีจึงต้องมีความเอาใจใส่ และมองเห็นคนทำงานในมุมที่เป็นมนุษย์มากกว่ามุมของตำแหน่งหน้าที่
แนวทางการดูแลลูกน้องของเขา มีทั้งการพูดคุย ถามไถ่ การให้กำลังใจ และการให้ความช่วยเหลือเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัวหรือเรื่องใดที่นายพึงจะช่วยลูกน้องได้ก็ยินดี รวมไปถึงการเลี้ยงอาหารและรับประทานอาหารร่วมกันกับลูกน้องเป็นประจำ การสนับสนุนให้ลูกน้องมีโอกาสไปศึกษาดูงานต่างประเทศ โดยที่บางครั้งใช้งบส่วนตัว หรือการมอบรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้กำลังใจแก่ทีมงาน เช่น การมอบเงินเพิ่มค่าล่วงเวลาให้กับคนขับรถที่มีรายได้น้อย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการสนับสนุนเชิงวัตถุ แต่เป็น "น้ำทิพย์ชโลมใจ" ที่ทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าพวกเขามีคุณค่าในสายตาของผู้นำ
เขาไม่ได้ปฏิเสธการดูแลคนใกล้ชิด แต่เขาให้หลักการชัดเจนว่า การสร้างความยุติธรรมนั้นมีสองระดับ ระดับแรกคือ การดูแลลูกน้องใกล้ชิด ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากไม่ให้รางวัลหรือโอกาสกับคนใกล้ชิดที่ทำงานหนัก ผู้นำอาจถูกมองว่าไม่ยุติธรรมจากคนที่ทำงานใกล้ตัว อีกระดับคือ ความยุติธรรมต่อส่วนรวม ที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ผู้นำต้องมีความเท่าเทียม เช่น การเปิดโอกาสให้ทุกคนแข่งขันในระบบอย่างเท่าเทียม ผ่านการสอบแข่งขันหรือการคัดเลือกตามเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งสองระดับนี้ต้องดำเนินไปพร้อมกัน ผู้นำที่ดีจึงต้องมีการสร้างสมดุลระหว่างความใกล้ชิดและความเท่าเทียมในระดับส่วนรวม
เขายังมีมุมมองที่เปิดกว้างในเรื่องการรับคนเข้ามาร่วมงานไม่ได้ยึดติดกับทีมงานที่คุ้นเคยหรือใกล้ชิดส่วนตัว แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนในหน่วยงานสามารถใกล้ชิดและทำงานกับเขาได้ หากมีใครแนะนำบุคลากรที่มีความสามารถ ก็พร้อมที่จะรับฟังและเปิดโอกาสให้คนเก่งเข้ามาทำงานร่วมกัน เพราะการทำงานแบบมี "พวก" จำนวนมาก ย่อมส่งผลให้งานนั้นบรรลุเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้น ในสายตาของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จึงมองว่าการอุปถัมภ์ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายไปทั้งหมด แต่ต้องทำอย่างมี "ศิลปะ" "สมดุล" กับ "จริยธรรม" การอุปถัมภ์คนจะช่วยทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีกำลังใจ ลูกน้องที่รู้สึกว่าตนเองได้รับการดูแลและใส่ใจจากผู้นำ ย่อมมีแรงจูงใจในการทำงาน และพร้อมที่จะทุ่มเทเพื่อความสำเร็จของหน่วยงาน นอกจากนี้ การอุปถัมภ์ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้นำและผู้ตาม ทำให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้งานสำเร็จได้อย่างราบรื่น
3.กลยุทธ์ที่มุ่งสร้างการรับรู้ในสังคมวงกว้าง
ㆍกลยุทธ์การทำงานภาครัฐให้เป็น Mass Movement
หนึ่งในความท้าทายของงานราชการในประเทศไทย คือการที่งานหรือโครงการภาครัฐส่วนใหญ่มักจำกัดการรับรู้อยู่ในวงแคบ ไม่มีการสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมให้ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ตื่นตัวหรือรับรู้ถึงความสำคัญของงานเหล่านั้น ปัญหานี้ทำให้งานหลายอย่างถูกมองว่าเป็น "เรื่องของรัฐ" ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตคนทั่วไป อีกทั้งยังขาดแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนและประชาสังคม ซึ่งส่งผลให้การดำเนินนโยบายของภาครัฐล่าช้า ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากไร้พลังขับเคลื่อน
การบริหารงานราชการให้ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องสร้างการมีส่วนร่วมและดึงดูดความสนใจจากทุกภาคส่วนในสังคม กลยุทธ์ที่เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นำมาใช้คือ การเปลี่ยนงานราชการหรือนโยบายภาครัฐให้กลายเป็น "Mass Movent" หรือการเคลื่อนไหวระดับสังคม ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างแรงกระเพื่อมในวงกว้าง แต่ยังทำให้นโยบายเป็นที่รับรู้ ได้รับการสนับสนุน และร่วมผลักดันโดยประชาชนและองค์กรอื่นๆ เทคนิคการใช้กลยุทธ์นี้คือ การใช้สื่อช่วยขยายประเด็นการทำงานของกระทรวง การพูดคุยกับสื่อ การกล้าประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน และการสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชน ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้งานราชการมีพลังมากขึ้น กลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนรับรู้ถึงนโยบายของภาครัฐ แต่ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในระดับสังคมที่กว้างขึ้น ทั้งในแง่ของการสนับสนุนทรัพยากร การเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ เมื่อคนในสังคมพูดถึงนโยบายและรู้สึกมีส่วนร่วม งานราชการที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องห่างไกลก็จะกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วม คอยติดตาม และการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้จริงในที่สุด
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของกลยุทธ์นี้ คือการประกาศนโยบาย "ไทยจะไปดวงจันทร์" ซึ่งเขาได้ประกาศเป้าหมายนี้อย่างชัดเจนต่อหน้าสื่อมวลชน โดยไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ให้โครงการดังกล่าวเป็นเป้าหมายในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องการกระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวและเริ่มมองเห็นถึงความสำคัญของเศรษฐกิจอวกาศ (Space
Economy) ในฐานะอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การประกาศเป้าหมายที่ดูใหญ่และยิ่งใหญ่นี้ ทำให้เกิดแรงสะท้อนกลับในสังคมทันที มีทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ บางคนตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้และความจำเป็นของโครงการนี้ ในขณะที่อีกหลายคนตื่นเต้นกับความกล้าหาญของประเทศไทยในการก้าวสู่เป้าหมายที่ท้าทาย
เช่นนี้ แม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่าการสร้างแรงกระเพื่อมในลักษณะนี้มีผลดีอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนนโยบาย เพราะเมื่อสังคมพูดถึงประเด็นดังกล่าวในวงกว้างย่อมทำให้นโยบายนี้ได้รับความสนใจและการสนับสุนจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาคเอกชนที่มองเห็นโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่
และนักวิทยาศาสตร์ไทยที่มีแรงจูงใจในการเข้าร่วมพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ความคิดเห็นของ ดร.พงศธร สายสุจริต ผู้จัดการโครงการส่งยานไปอวกาศ ได้สะท้อนว่าการพูดถึงโครงการดังกล่าวไม่ว่าจะแง่ดีหรือแง่ลบ สะท้อนให้เห็นว่าเกิด "การรับรู้" ของสังคมในวงกว้าง ซึ่งมีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้บุคลากรมีกำลังใจในการทำงาน เพราะคนไทยจับตามองและสนใจถึงความก้าวหน้าของโครงการฯ
"คนส่วนใหญ่รู้นโยบายนี้ ผมนั่งวินมอเตอร์ไซค์ เขาบอกว่าน้องรู้ไหม เราจะสร้างยานอวกาศไทยไปดวงจันทร์ ผมมองว่ามันไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้มาในชีวิตผมเลย ที่คนไทยจะสนใจเรื่องที่สถาบันดาราศาสตร์ได้ทำอยู่ ….ผมไปร้านส้มตำ ผมก็แกล้งถามป้ารู้ไหมครับ เราจะสร้างยานอวกาศไปดวงจันทร์" ป้าตอบว่า "รู้สิ
ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้น" ผมเชื่อว่าคนไทยหลายสินล้านคนรู้เรื่องนี้ บุคลากรในสถาบันฯ ต่างตื่นเต้นกับเรื่องนี้และมีกำลังใจในการทำงานมาก และยิ่งเชื่อว่าความสามารถของคนไทย สามารถทำอะไรบางอย่างในข้อจำกัดที่มากกว่าคนอื่น ทั้งความไม่พร้อมอะไรเลย สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ซึ่งการทำสิ่งใดให้เกิดขึ้นในสภาวะแบบนี้ คนไทยเรา
เก่งมาก"
บทสัมภาษณ์สื่อโดย ดร.พงศธร สายสุจริต ผู้จัดการโครงการส่งยานไปอวกาศ"
ㆍกลยุทธ์การสื่อสารที่ทรงพลัง
การสื่อสารถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สามารถสื่อสารกับผู้คนหลายระดับทั้งภายในองค์กรและสาธารณะ มีทักษะการสื่อสารที่พูดให้คนอยากทำ พูดให้คนเข้าใจเป้าหมาย และสอนคนให้เปลี่ยนมุมมองและให้แง่คิดกับคน ดังมีแนวทางต่อไปนี้
การสื่อสารที่เน้นเป้าหมาย ผู้นำต้องสื่อสารและชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการบรรลุ เพื่อให้ผู้ร่วมงานเข้าใจว่าบทบาทของพวกเขาสำคัญต่อความสำเร็จนั้นอย่างไร เขามักมีการสื่อสารหรือการพูดที่มีเป้าหมายเสมอ เพื่อให้บุคลากรของกระทรวง อว. มีภาพเดียวกัน เช่น การประกาศยุทธศาสตร์ของกระทรวง อว. จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน พ.ศ.2580 ชี้ให้เห็นว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็น "ธงชัย" หรือ Super Indicator ที่ทุกหน่วยงานในกระทรวง อว. ต้องร่วมกันขับเคลื่อน เขามักมีรูปแบบการสื่อสารที่พูดเน้นย้ำในทุกโอกาส เช่น การสื่อสารต่อสาธารณะ การให้สัมภาษณ์ การประชุมกับข้าราชการ เพื่อให้เป้าหมายนี้กลายเป็น "ความฝันร่วมกัน" ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การสื่อสารเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและมีแรงจูงใจ คุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญของผู้นำคือต้องมีความสามารถในการพูดปลุกใจ จงใจและทำให้คนรู้สึกอยากมีส่วนร่วม พูดหรือสื่อสาร "ทำให้คนอยากตาม" พูดเพื่อให้คนรู้สึกมุ่งมั่นและพร้อมที่จะทำตามให้เกิดการปฏิบัติจริง เขามักกล่าวถึงเป้าหมายของการทำงาน แนวทางในการเดินไปถึงเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ ทำให้คนทำงานมองเห็นภาพและมีวิธีการที่จะเดินไปให้ถึงเป้าหมายได้ เขาตระหนักเสมอว่า "เรามีเวลาน้อย แต่เราต้องทำให้มากที่สุด" เป็นการกระตุ้นให้ข้าราชการตื่นตัวและเร่งสร้างผลงานให้เกิดผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
การสื่อสารที่ "สอนคน" ได้ เขาเน้นย้ำเสมอว่า ผู้นำแบบรัฐมนตรีต้อง "สอนคน" ได้ ต้องไม่ขี้เกียจพูด ขยันสอน และทำตัวเองเป็นแบบอย่าง ทุกครั้งที่มีโอกาสไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยแบบทางการหรือไม่เป็นทางการ เขาจะฉวยโอกาสนั้นพูดคุยกับลูกน้องหรือผู้อื่น โดยพูดเกี่ยวกับความสำคัญของงาน ไปจนถึงทุกเรื่องที่อยากจะสอน เพราะเชื่อว่าคนทำงานไม่ได้รู้ทุกเรื่อง พวกเขาต้องการการเรียนรู้และความเข้าใจในการทำงานและการใช้ชีวิต ซึ่งการสอนคนนั้น หากสอนในเรื่องที่ดี พวกเขาจะเคารพในตัวผู้นำ และผู้นำเองต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องนั้นได้ด้วย ไปจนถึงการที่พวกเขาสามารถนำคำสอนนั้นไปปฏิบัติเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น
การสื่อสารที่ทำให้คนเปลี่ยนมุมมองได้ การสื่อสารของเขามีจุดเด่นที่หาได้น้อยในผู้นำอื่นๆ คือ การพูดให้คนฟังได้เข้าใจและเปลี่ยนมุมมองของตนเอง เกิดแง่คิดใหม่แก่คนฟังทุกครั้ง ยกตัวอย่างมุมมองว่าด้วย "การมองเห็นโอกาสมากกว่าเห็นปัญหา" ไม่ว่าจะเป็นการพูดในประเด็นใดก็ตาม เขาจะชักชวนให้คนมองเห็นโอกาสในเรื่องนั้นเสมอ แม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะเต็มไปด้วยปัญหาก็ตาม เช่นการมองโควิด-19 ให้เป็นโอกาส คือโอกาสที่นักวิทยาศาสตร์ต้องประดิษฐ์อุปกรณ์ทางแพทย์เองได้ โอกาสที่กระทรวง อว.และหน่วยงานในสังกัดได้ลุกขึ้นมารับใช้สังคมให้เต็มที่ เป็นต้น เขามักจะสื่อสารให้ทุกคนมองเห็นโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน การใช้ชีวิต ครอบครัว และหวังว่าทุกคนจะเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองในการใช้ชีวิตให้ได้
การสื่อสารต้องต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ผู้นำพูดหรือสื่อสาร เพียงครั้งเดียวนั้นไม่เพียงพอ ผู้นำต้องมีการสื่อสารซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง เขาเชื่อว่าผู้นำที่ดีต้องสอนและพูดกับสาธารณะ การพูดหรือสอนแค่ครั้งเดียวนั้นไม่สามารถทำให้คนเปลี่ยนความคิดได้ ต้องสื่อสารทุกครั้งที่มีโอกาส แม้จะเป็นเรื่องเดิม แต่ต้องมีเทคนิคการพูดที่ทำให้คนฟังไม่รู้สึกเบื่อ ต้องหาเรื่องราวใหม่ๆ เพิ่มเติม การสื่อสารที่ต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้ฟังนั้นค่อยๆ เปลี่ยนความคิดและคล้อยตามในสิ่งที่ผู้นำพูดได้
กล่าวโดยสรุป ความสำเร็จของผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลง นอกจากจะมีมุมมอง การคิดเชิงยุทธศาสตร์ และการตัดสินใจกำหนดเป็นนโยบายแล้ว สิ่งสำคัญคือการมีกลยุทธ์ ผู้นำควรมีกลยุทธ์ที่หลากหลายเป็นเครื่องมือ มีความสามารถในการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม นำมาใช้ให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ จึงจะสามารถผลักดัน ขับเคลื่อนงานและนโยบายให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้ในที่สุด.