เหมืองแร่ของประเทศเพื่อนบ้าน กลายเป็นฝันร้ายของชาวไทยริมแม่น้ำกก
เหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมียนมาส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชาวไทยที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกก ชาวบ้านในพื้นที่ต้องเผชิญกับสภาพน้ำที่เปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ จากสายน้ำที่เคยใสสะอาดกลายเป็นสีขุ่น และยังตรวจพบการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักในปริมาณที่เกินค่ามาตรฐาน
เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านกว่า 700 คนในตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันเดินขบวนเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยด่วน
เพราะถ้าหากปัญหายังคงถูกเพิกเฉย แม่น้ำกกซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมาอย่างยาวนาน อาจได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและส่งผลกระทบในวงกว้างเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
เหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมียนมาส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชาวไทยที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกก ชาวบ้านในพื้นที่ต้องเผชิญกับสภาพน้ำที่เปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ จากสายน้ำที่เคยใสสะอาดกลายเป็นสีขุ่น และยังตรวจพบการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักในปริมาณที่เกินค่ามาตรฐาน
เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านกว่า 700 คนในตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันเดินขบวนเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยด่วน
เพราะถ้าหากปัญหายังคงถูกเพิกเฉย แม่น้ำกกซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมาอย่างยาวนาน อาจได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและส่งผลกระทบในวงกว้างเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
พื้นที่ริมแม่น้ำกกมีระยะทางกว่า 306.05 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ รวม 8 อำเภอ 19 ตำบล ทั้งที่มีสัญชาติไทยและไม่มีสัญชาติไทย
ขณะนี้มีคนกว่า 182,931 ราย กำลังได้รับผลกระทบ
น้ำปนเปื้อน ราคาที่เกษตรกรริมกกต้องจ่าย
Rocket Media Lab ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการปนเปื้อนของแม่น้ำกก โดยอ้างอิงข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจทั้ง 19 ตำบล ข้อมูลผลผลิตต่อไร่ และราคาสินค้าเกษตร พบว่า
พืชเศรษฐกิจหลักที่ปลูกริมแม่น้ำกกมี 14 ชนิด รวมพื้นที่กว่า 340,358.73 ไร่ มูลค่าทางเศรษฐกิจราว 3,239,061,808.4 บาท โดยข้าวถือว่ามีมูลค่าสูงสุด และได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากพื้นที่นาข้าวส่วนใหญ่อยู่ติดแม่น้ำและใช้น้ำโดยตรงจากแม่น้ำในการทำนาปรัง
รองลงมาคือยางพาราและข้าวโพด นอกจากนี้ยังมีพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น สับปะรด, มันสำปะหลัง, ลำไย, กาแฟ, เงาะ, ทุเรียน, ปาล์มน้ำมัน, มะพร้าว, มังคุด และอ้อย
เมื่อแหล่งน้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกกปนเปื้อน ย่อมส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคเกษตร ความเสียหายจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะพืชผลที่เสียหาย แต่รวมถึงรายได้ของเกษตรกร ความไม่แน่นอนในการเพาะปลูก และความเสียหายรวมในจังหวัดเชียงรายอาจสูงกว่า 3 พันล้านบาทต่อปี
ไม่แค่พืชผลเสียหาย แต่อาจลุกลามจนยากควบคุม
ความเสียหายจากการปนเปื้อนของแม่น้ำไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคเกษตรกรรมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากพื้นที่ริมน้ำกกยังมีการเพาะปลูกพืชอื่น ๆ เช่น ชา ส้ม หม่อน และเกษตรอินทรีย์ การเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำอาจทำให้ระบบเกษตรกรรมทั้งหมดหยุดชะงัก
นอกจากนี้ยังส่งผลโดยตรงต่อการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จากข้อมูลของกรมประมง ปี 2567 พบว่า มูลค่าการจับสัตว์น้ำจืดในจังหวัดเชียงรายสูงถึง 92,763,000 บาท การปนเปื้อนของแม่น้ำกกส่งผลให้ชีวิตของชาวประมงจำนวนมากที่พึ่งพาแม่น้ำสายนี้ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางรายได้
แม่น้ำกกยังเป็นหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย กิจกรรมล่องแพ ล่องเรือ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก น้ำตกขุนกรณ์ น้ำพุร้อนโป่งพระบาท และน้ำพุร้อนผาเสริฐ ล้วนต้องพึ่งพาแหล่งน้ำสายนี้โดยตรง
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 จังหวัดเชียงรายเป็นเมืองรองด้านการท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ มีนักท่องเที่ยว 3.38 ล้านคน สร้างรายได้สะพัดกว่า 25,958 ล้านบาท เศรษฐกิจชุมชนที่เชื่อมโยงกับรีสอร์ต โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และคาเฟ่ จึงพร้อมสั่นคลอนหากภาพลักษณ์ของแม่น้ำกกถูกบั่นทอน
ความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนคืน หากไม่เร่งแก้ไข
การปนเปื้อนของสารพิษในแม่น้ำกกกำลังกลายเป็นวิกฤตที่ลุกลามเกินกว่าขอบเขตของปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่พืชผลทางการเกษตรหรือปลาน้ำจืดริมฝั่งแม่น้ำ หากแต่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่พึ่งพารายได้จากภาคบริการมากที่สุด และก้าวขึ้นมาเป็นเมืองรองอันดับ 1 ของประเทศ
นอกเหนือจากด้านเศรษฐกิจ การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำกกยังคุกคามสุขภาพของประชาชนโดยตรง เนื่องจากน้ำจากแม่น้ำยังคงถูกใช้อุปโภคบริโภคในหลายพื้นที่ และอาจก่อให้เกิดโรคจากสารปนเปื้อน เช่น โรคผิวหนังหรือโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะนำไปสู่ภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่เพิ่มสูงขึ้น
ภาครัฐยังอาจต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาลในการจัดหาแหล่งน้ำสำรอง การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูระบบนิเวศ ตลอดจนการวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำในอนาคต ต้นทุนเหล่านี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงและไม่ควรถูกมองข้าม
จากรายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 พบว่า ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย บริเวณติดพรมแดนเมียนมา มีค่าความขุ่นสูงผิดปกติ และตรวจพบสารหนูซึ่งเป็นโลหะหนักเกินกว่าค่ามาตรฐาน
หากภาครัฐยังไม่เร่งแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างจริงจัง สถานการณ์อาจลุกลามจนยากจะควบคุม และนำไปสู่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจในวงกว้าง สะเทือนไปถึงรากฐานของเศรษฐกิจท้องถิ่น และบั่นทอนเสถียรภาพทางสังคมในระยะยาว ภาครัฐจะยังปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังต่อไป หรือจะเลือกหยุดรับฟังเสียงของประชาชนที่กำลังเผชิญความเดือดร้อนในทุกๆ วัน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://rocketmedialab.co/kok-river/