'สส.ปชน.' จี้ รัฐฯเร่งเจรจาจีน ปม ข้อกำหนด 'ซัลเฟอร์' ตรวจเข้ม'ลำไย'
น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี เขต 3 พรรคประชาชน เปิดเผยว่าขณะนี้ชาวสวนลำไยในจังหวัดจันทบุรีและทั่วประเทศกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ หลังประเทศจีนเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเรื่องการตรวจวัดสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในลำไยส่งออกอย่างกะทันหัน
จากเดิมตามพิธีสารไทย-จีน การใช้สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ต้องไม่เกิน 50 PPM (ส่วนในล้านส่วน) ที่เนื้อลำไย เปลี่ยนเป็นตรวจปั่นทั้งเนื้อและเปลือกรวมกันไม่เกิน 50 PPM
ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่งออกหรือล้ง ชะลอการจ่ายเงินมัดจำรอบที่สอง หยุดการรับซื้อล่วงหน้า และบางรายถึงขั้นตัดสินใจหยุดซื้อชั่วคราว สร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้างแก่เกษตรกรที่กำลังจะเก็บเกี่ยวผลผลิต หวั่นซ้ำรอยปัญหาราคาตกต่ำจนขาดทุนยับเยิน
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ผลผลิตลำไยภาคตะวันออกกำลังออกสู่ตลาด โดยข้อมูลคาดการณ์ปริมาณผลผลิตลำไยทั้งประเทศในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 1.43 ล้านตัน ซึ่งลำไยถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างมูลค่าการส่งออกเกือบ 20,000 ล้านบาทให้กับประเทศไทย
สส.จันทบุรี กล่าวว่า มาตรการของจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อวงจรการซื้อขายลำไยในประเทศ โดยกลุ่มผู้ส่งออกหรือ "ล้ง" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน เริ่มไม่มั่นใจและประเมินว่าลำไยจากไทยอาจไม่สามารถผ่านด่านตรวจของจีนได้
จึงพร้อมใจกันชะลอการจ่ายเงินมัดจำในรอบที่สอง หลังจากที่ได้วางเงินจองสวนไปแล้วก่อนหน้านี้ และยังไม่มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มเติม การชะลอจ่ายเงินดังกล่าวทำให้เกษตรกรชาวสวนลำไยขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ไม่สามารถนำเงินไปลงทุนซื้อปุ๋ยและยาบำรุงต้นลำไยในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเก็บเกี่ยวได้
"ส่งผลให้ลำไยมีขนาดเล็กกว่ามาตรฐานและเสี่ยงต่อคุณภาพที่ต่ำลง ซึ่งยิ่งทำให้ราคาตกต่ำลงไปอีก กลายเป็นปัญหาซ้ำเติมเกษตรกร"
เกษตรกรรายหนึ่งในจังหวัดจันทบุรีเปิดเผยว่า "ตอนนี้เหมือนเคว้งคว้าง ล้งไม่จ่ายเงินรอบสอง เราก็ไม่มีเงินไปซื้อปุ๋ยซื้อยามาบำรุงลูกมันให้โตทันขาย พอเป็นแบบนี้คุณภาพมันก็ไม่ได้ ล้งก็ยิ่งมีข้ออ้างไม่ซื้อ กดราคาเราอีกที จากที่เคยหวังว่าปีนี้ราคาจะดี กลับต้องมาเจออะไรแบบนี้"
สถานการณ์เลวร้ายลง เมื่อมีข่าวว่าล้งบางรายได้ตัดสินใจชะลอการรับซื้อลำไย เนื่องจากไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงหากสินค้าถูกตีกลับจากประเทศจีน ทำให้เกษตรกรที่ไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้ ไม่มีที่ระบายผลผลิต
ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นลูกโซ่กำลังฉุดให้ราคาลำไยที่เกษตรกรขายได้หน้าสวนดิ่งลงอย่างน่าใจหาย จากที่เคยมีราคาสูงเกือบ 30 บาทต่อกิโลกรัมในช่วงต้นฤดู ขณะนี้มีแนวโน้มที่ราคาอาจลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกษตรกรต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างหนักและอาจไม่สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้
น.ส.ญาณธิชาเรียกร้องให้รัฐบาลเจรจากับทางการจีนอย่างเร่งด่วนเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น ขอให้ทางการจีนใช้มาตรฐานการตรวจสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา คือการตรวจวัดโดยแยกเนื้อกับเปลือก
เฉพาะในส่วนของ "เนื้อลำไย" ให้มีสารตกค้างได้ไม่เกิน 50 PPM ส่วนในเปลือกไม่เกิน 400 PPM เนื่องจากการรมควันด้วยซัลเฟอร์เป็นกระบวนการที่จำเป็นเพื่อรักษาคุณภาพของเปลือกลำไยให้มีความสดใหม่และสามารถขนส่งระยะไกลได้ ซึ่งสารส่วนใหญ่จะตกค้างอยู่ที่เปลือก การตรวจทั้งเปลือกและเนื้อรวมกันจึงทำให้ค่าที่วัดได้สูงเกินมาตรฐานได้ง่าย
"รัฐบาลต้องเข้าใจว่านี่คือปากท้องของเกษตรกร ความอยู่รอดของครอบครัวอีกหลายแสนครัวเรือน การเจรจาทางการทูตเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ เพื่อให้ทางการจีนเกิดความเชื่อมั่นและพิจารณากลับไปใช้มาตรฐานตามพิธีสารไทย-จีนที่เคยตกลงกัน ให้กลไกการค้าเดินหน้าต่อไป"
ในส่วนของการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดใดๆ ในอนาคต รัฐบาลควรให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งชาวสวนลำไยและผู้ส่งออก มีส่วนในการพิจารณาหาจุดที่เหมาะสมร่วมกันเพื่อจำกัดผลกระทบให้น้อยที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะพังไปมากกว่านี้ หากปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที ความเดือดร้อนของชาวสวนลำไยจะขยายวงกว้างและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการส่งออกผลไม้ของไทยอย่างรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้