บอกความจริง! ผ่าอนาคต SAMART กับเกมธุรกิจในกัมพูชา รุ่ง รึ ร่วง ?
ท่ามกลางกระแสความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาที่ร้อนแรงทั้งชายแดนและโซเชียล กลุ่มสามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) กลับโชว์ฟอร์มสวนกระแส โดยเฉพาะลูกรักอย่าง SAV ที่ผงาดจากธุรกิจควบคุมจราจรทางอากาศทั่วกัมพูชาแบบผูกขาด
แม้การเมืองร้อนแรงแค่ไหน แต่รายได้จากฟ้าแทบไม่สะเทือน!
ภาพกำไรของ "บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART" ในครึ่งปีแรก 160 ล้านบาท มาจากลูกรักอย่าง "บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV" ถึง 130 ล้านบาท
และด้วยสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยและกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ที่ยังคงคุกรุ่นทุกรูปแบบทั้งการปะทะทางตรงตามแนวชายอดนและทางอ้อมผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ พร้อมกระแสการแบนสินค้าไทยนั้นเหมือนยกระดับกดดันมากขึ้น
คำถามคือ โอกาสการเติบโตของ SAV ในกัมพูชานั้นยังคง รุ่งโรจน์ หรือ ร่วงโรย แค่ไหน ?
"รัฐนันท์ วิไลลักษณ์" ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจและนักลงทุนสัมพันธ์ กลุ่มสามารถฯ ยืนยันว่า "บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV" ถือหุ้นผ่านบริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิส จํากัด (CATS) ประกอบธุรกิจให้บริการบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางอากาศทั่วน่านฟ้าประเทศกัมพูชาเพียงผู้เดียว
ด้วยธุรกิจที่แตกต่างจากธุรกิจคอนซูเมอร์โพรดักส์ที่มีโอกาสโดนแบนสินค้าค่อนข้างสูงนั้น ถือว่าธุรกิจ SAV มีความเสี่ยงถูกแบนต่ำมาก อีกทั้งคนภายนอกมองว่าเป็นบริษัทในกัมพูชา เนื่องด้วยพนักงานส่วนใหญ่คือคนกัมพูชา
ถามว่า..โอกาสถูกยกเลิกสัญญาสัมปทานมีหรือไม่ ?
โอกาสถือว่ามีน้อยมากที่จะถูกยกเลิกสัมปทาน เพราะรายได้ค่อนข้างสูงที่มอบให้รัฐบาลกัมพูชา สมมุติปีนี้มีรายได้ 975 ล้านบาท รัฐบาลได้กำไรราว 400-500 ล้านบาท หากรัฐบาลลงมาบริหารจัดการเองมีความเสี่ยงที่จะต้องบริหารคนและการดำเนินงานเองทั้งหมด ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาและความเสี่ยงการขาดทุนเช่นกัน
ดังนั้น "หากผมเป็นรัฐบาลไม่เสี่ยงดีกว่า อยู่เฉยๆแล้วได้เงินดีกว่า"
อีกทั้ง บริษัทมีสัญญาสัมปทานระยะยาวถึงปี 2051 หรือราว 26 ปี ส่วนการเปิดสนามบินเตโช วันที่ 9 กันยายน 2568 เพิ่มบ่งบอกการเร่งการท่องเที่ยวเพื่อรับนักท่องเที่ยวอินเตอร์ ซึ่งเดิมรับนักท่องเที่ยวได้ 2 ล้านคน
การเปิดสนามบินใหม่สามารถรองรับได้ถึง 13 ล้านคนต่อปี ซึ่งกัมพูชาอยู่ติดโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามที่จะเปิดสนามบินใหม่เช่นกันจึงสามารถรองรับนักท่องเที่ยวอินเตอร์ในอนาคตได้
"เรื่องสัมปทานเรามั่นใจว่ามีความเสี่ยงการยกเลิกสัมปทานค่อนข้างต่ำ เพราะเราเหมือนบริษัทกัมพูชาและมีความสัมพันธ์ที่ดี โดยในช่วงโควิด-19 เรามีการลดราคาและช่วยเหลือรัฐบาลในช่วงจ่ายเงินต่างๆให้ตรงเวลา ความสัมพันธ์เราค่อนข้างดี ดังนั้นเชื่อว่าไม่มีปัญหาถูกแบนแน่นอน"
โอกาสปรับขึ้นราคาสายการบิน ?
ยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่มีแผนและไม่ใช่จังหวะที่ดีในการทำอะไร แม้เดิมทีบริษัทจะมีแผนปรับขึ้นค่าบริการ 5% ก็ตาม
ทั้งนี้บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะมีรายได้ทางเดียว บริษัทมองหาโปรเจ็กต์ใหม่ๆเข้ามา โดยเตรียมประมูล 2 งานใหม่ในไตรมาส 4/68 มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท และ FOD มูลค่า 1,280 ล้านบาท พร้อมกับแนวโน้มการเซ็น MOU กับลาวคาดว่าจะมาอัพเดตในไตรมาส 3/68
แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2568 คาดกำไรเติบโต 20% เป็น 560 ล้านบาท จากจำนวนไฟล์บินที่เพิ่มขึ้น ไตรมาส 3/68 คาดเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาเพราะจำนวนไฟรท์และอินเตอร์ดีขึ้น ทั้งปีมองบวกเติบโตต่อเนื่องแม้รายได้ไม่เยอะมาก
อนาคตกลุ่มสามารถฯ
กลุ่ม SAMART คงเป้ารายได้ปีนี้ทำได้ 13,500 ล้านบาท มาจากสายธุรกิจ Digital ICT Solution นั่นก็คือ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL ราว 6,500 ล้านบาท,
สายธุรกิจ Utilities & Transportations จาก บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV, เทด้า และไดเร็คโค้ด คาดสร้างรายได้รวม 6,000 ล้านบาท
และสายธุรกิจ Digital Communications โดย บริษัท สามารถดิจิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SDC คาดทำได้ 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีงานที่มี Potential อีก 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งโปรเจกต์นี้จะพลิกฟื้นให้ SAMTEL มีรายได้ประจำที่เติบโต โดยคาดโปรเจกต์นี้จะเริ่มประมูลในไตรมาส 3/68 โดยในสิ้นปีนี้คาดกลุ่มสามารถฯจะมี มูลค่างานในมือ(แบ็กล็อก) 39,000 ล้านบาท จากแนวโน้มการได้รับงานโครงใหม่ๆที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
"ที่ผ่านมาสิ่งที่เป็นตัวถ่วงของกลุ่มคือ SDC ที่ขาดทุนสะสมค่อนข้างมากจาก Trunked Radio แต่ในปีที่ผ่านมามีการส่งมอบให้ภาครัฐทำให้เริ่มกลับมามีกำไรต่อเนื่อง ส่วน SAMTEL ไตรมาส 3/68 งบดีจากการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ ซึ่งในครึ่งปีแรกเซ็นรับงานแล้วเกือบ 5,000 ล้านบาท SAV เติบโตได้ดีแม้ได้รับผลกระทบจากการปิดน่านฟ้าช่วงสั้น
เรามั่นใจว่าสถานการณ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้น ไม่น่าจะมีการยิง คงกำไรทั้งปี 560 ล้านบาท เทด้ามีการยื่นซองประมูลกว่า 4,000 ล้านบาทคาดทราบผลในครึ่งปีหลัง ส่วน SAMART หลังจากตัดสินคดีความกับ AOT ในไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมาและได้มีการตั้งสำรองเรียบร้อย กำไรเริ่มกลับมา สรุปคือกลุ่มสามารถมีแนวโน้มรายได้ค่อนข้างดีและปีหน้าเติบโตต่อเนื่อง"