สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 24 ส.ค. 68
1. สรุปสถานการณ์น้ำ และปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.น่าน (94 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.เลย (78 มม.) ภาคกลาง : จ.สิงห์บุรี (98 มม.) ภาคตะวันออก : จ.จันทบุรี (70 มม.) ภาคตะวันตก : จ.เพชรบุรี (25 มม.) ภาคใต้ : จ.สงขลา (133 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง และมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนคาดการณ์ : ช่วงวันที่ 25 - 27 ส.ค. 68ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรง เนื่องจากอิทธิพลของพายุประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงขึ้น
อนึ่ง พายุโซนร้อน “คาจิกิ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ในช่วงวันที่ 25–26 ส.ค. 68 ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 68
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 66% ของความจุเก็บกัก (52,988 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 50% (28,884 ล้าน ลบ.ม.)
สทนช. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยเน้นการลดความเสี่ยงจากอุทกภัยและเตรียมความพร้อมในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชน ประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือน และจัดเตรียมมาตรการช่วยเหลือผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและทันท่วงที
3. ข่าวประชาสัมพันธ์ : รัฐบาลเตรียมรับมือพายุ “คาจิกิ” เต็มกำลัง รองนายกฯ ประเสริฐ สั่ง สทนช. เกาะติดสถานการณ์ พร้อมยกระดับบริหารจัดการน้ำ
ตามระดับความรุนแรง
วานนี้ (23 ส.ค. 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พายุดีเปรสชั่น ในทะเลจีนใต้ตอนบนได้พัฒนาตัวเป็นพายุโซนร้อน “คาจิกิ” แล้ว และมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ คาดว่าจะขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบนในช่วง วันที่ 25 - 26 ส.ค. 68 ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ระยะนี้หลายพื้นที่ของไทยมีแนวโน้มเกิดฝนตกหนักถึงหนักมาก คาดว่าจะส่งผลให้มีน้ำไหลเข้าแหล่งกักเก็บน้ำต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมกับปริมาณน้ำเดิมจากอิทธิพลของพายุวิภา ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีร่องมรสุมพาดผ่านประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนนี้ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดฝนตกสะสมในหลายพื้นที่ จึงได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานติดตามสถานการณ์ของเขื่อนทุกแห่งอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำมาก ให้เตรียมพร้อมปรับการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงผลกระทบในภาพรวมและความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนเป็นสำคัญ เช่น เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ ให้ปรับแผนการระบายน้ำเพื่อรองรับมวลน้ำที่จะไหลเข้ามาเพิ่มเติมจากฝนในระลอกนี้ พร้อมเน้นย้ำให้พิจารณาผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำร่วมด้วย เพื่อลดความเสี่ยงเกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ สทนช. ประเมินระดับความรุนแรงของสถานการณ์อุทกภัย เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการยกระดับการบริหารจัดการน้ำตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ซึ่งแบ่งกรอบโครงสร้างการปฏิบัติงานเป็น 3 ระดับ ดังนี้
1. ระดับ 1 หน่วยบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ที่มีพื้นที่น้ำท่วมขังไม่เกิน 2 จังหวัด ความลึกระดับน้ำน้อยกว่า 0.5 เมตร ระยะเวลาท่วมขังไม่เกิน 15 วัน และไม่มีแนวโน้มแผ่ขยาย โดยมีเลขาธิการ สทนช. เป็นประธาน
2. ระดับ 2 กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ทำหน้าที่ควบคุมวิกฤติน้ำในภาวะรุนแรงหรือคาดว่าจะรุนแรง โดยมีสถานการณ์น้ำท่วมขังเกิน 2 จังหวัดในพื้นที่เปราะบางหรือพื้นที่เศรษฐกิจ ความลึกระดับน้ำมากกว่า 0.5 เมตร ระยะเวลาท่วมขังมากกว่า 15 วัน และมีแนวโน้มแผ่ขยาย เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตตามปกติ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้อำนวยการ
3. ระดับ 3 ศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ เป็นการยกระดับจากกองอำนวยการน้ำแห่งชาติเพื่อจัดการสถานการณ์น้ำในภาวะวิกฤติ หรือคาดว่าจะวิกฤติในสถานการณ์ที่มีน้ำท่วมขังเกิน 2 จังหวัดในพื้นที่เปราะบางหรือพื้นที่เศรษฐกิจ ความลึกระดับน้ำมากกว่า 1 เมตร ระยะเวลาท่วมขังมากกว่า 30 วัน และมีแนวโน้มแผ่ขยาย ต้องอาศัยการปฏิบัติงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กระทรวงต่าง ๆ เนื่องจากกระทบต่อการดำรงชีวิตของคน สัตว์ หรือพืช สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน ส่งผลให้การดำรงชีวิตตามปกติต้องหยุดชะงัก โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการ จนกว่าปัญหาวิกฤติน้ำจะผ่านพ้นไป
ทั้งนี้ รัฐบาลจะบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเตรียมแผนรองรับในทุกระดับ ตามนโยบายที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ข่าวที่เกี่ยวของ : สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 23 ส.ค. 68