“ทรัมป์” ลงนามคำสั่งบริหาร ห้ามธนาคาร “เลือกปฏิบัติ” ด้วยเหตุผลทางการเมือง–ศาสนา สั่งสอบย้อนหลังทั่วประเทศ
"ทรัมป์" ลงนามคำสั่งบริหารใหม่ บังคับให้ธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลตรวจสอบการปฏิเสธให้บริการทางการเงินด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือศาสนา พร้อมเปิดทางให้ส่งเรื่องฟ้องร้องทางแพ่ง
วันที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 06.07 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เพิ่มแรงกดดันต่อธนาคารขนาดใหญ่และหน่วยงานกำกับดูแลในวันพฤหัสบดี (8 ส.ค.) ด้วยการลงนามในคำสั่งบริหารที่กำหนดให้ภาคการธนาคารต้องมั่นใจว่า จะไม่มีการปฏิเสธการให้บริการทางการเงินกับบุคคลใดเพียงเพราะความเชื่อทางการเมืองหรือศาสนา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มักถูกเรียกว่า “debanking” (การตัดสิทธิ์เข้าถึงบริการธนาคาร)
คำสั่งดังกล่าวได้กำหนดให้หน่วยงานกำกับดูแลต้องตรวจสอบธนาคารภายใต้การกำกับทั้งหมด โดยพิจารณาทั้งในปัจจุบันและย้อนหลังว่าเคยมีพฤติกรรมที่ปฏิเสธลูกค้าเนื่องจากเหตุผลทางความเชื่อหรือไม่ และหากพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายดังกล่าว จะต้องมีการลงโทษหรือใช้มาตรการทางวินัยตามความเหมาะสม
คำสั่งยังระบุว่า หน่วยงานต่าง ๆ อาจส่งเรื่องบางกรณีให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่ง และยังสั่งให้หน่วยงานกำกับดูแลลบล้างนโยบายหรือแนวปฏิบัติใด ๆ ภายในที่อาจทำให้ธนาคารหลีกเลี่ยงการให้บริการลูกค้าจากเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางการเงินโดยตรง
แหล่งข่าวในธนาคาร 2 แห่ง ระบุว่าคำสั่งนี้เป็นไปตามความคาดหมายของภาคอุตสาหกรรม โดยให้เวลาหน่วยงานกำกับดูแล 180 วันในการตรวจสอบกิจกรรมเลือกปฏิบัติของสถาบันการเงิน และทบทวนแนวทางภายในของตนเอง
แหล่งข่าวหนึ่งกล่าวว่า ประเด็นสำคัญจากนี้คือ วิธีที่หน่วยงานกำกับแต่ละแห่งจะตีความคำสั่งนี้ และธนาคารจะต้องปฏิบัติตามอย่างไร
เดวิด ซูเวลล์ หุ้นส่วนของบริษัทกฎหมาย Freshfields ให้ความเห็นว่า “โดยทั่วไป ธนาคารส่วนใหญ่มีนโยบายและกระบวนการชัดเจนว่าเมื่อใดจะปฏิเสธการเปิดบัญชีหรือปิดบัญชีของลูกค้า โดยปกติจะพิจารณาจากความเสี่ยงด้านการฟอกเงินหรือปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ คำสั่งในวันนี้เป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อแนวทางเหล่านั้น”
คำสั่งบริหารนี้นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในแคมเปญกดดันภาคการเงินของกลุ่มอนุรักษ์นิยมในสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่าตนถูกปฏิเสธบริการจากธนาคารเพียงเพราะความเชื่อทางการเมือง
ทรัมป์ยังอ้างในบทสัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อวันอังคารว่า เขาเองก็เคยถูกเลือกปฏิบัติโดยธนาคาร โดยกล่าวโดยไม่มีหลักฐานว่า JPMorgan Chase และ Bank of America ปฏิเสธไม่รับเงินฝากจากเขาหลังพ้นวาระแรก
JPMorgan ตอบกลับเมื่อวันอังคารว่า ธนาคารไม่ปิดบัญชีเพราะเหตุผลทางการเมือง ขณะที่ Bank of America ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับลูกค้า แต่ระบุว่ายินดีหากผู้กำกับดูแลจะออกแนวทางให้ชัดเจนขึ้น
คำสั่งบริหารยังกล่าวหาว่า สถาบันการเงินบางแห่งมีส่วนร่วมใน “โครงการสอดแนมที่รัฐบาลสั่งการ” ซึ่งมีเป้าหมายเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม หลังเหตุการณ์ผู้สนับสนุนทรัมป์บุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564
“แนวปฏิบัติเช่นนี้ขัดแย้งอย่างยิ่งกับหลักการของสังคมเสรี และหลักการที่ว่าการให้บริการทางการเงินควรอิงอยู่กับความเสี่ยงที่ชัดเจน วัดได้ และมีเหตุผลอธิบายได้”
แม้ธนาคารขนาดใหญ่จะยืนยันมาตลอดว่าไม่ได้ปฏิเสธลูกค้าด้วยเหตุผลด้านความเชื่อ แต่พวกเขากลับชี้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลจำนวนมากต่างหากที่มักส่งสัญญาณหรือออกแนวทางที่ทำให้ธนาคารต้องหลีกเลี่ยงลูกค้าหรืออุตสาหกรรมบางประเภท และต้องการให้กฎเกณฑ์เหล่านี้ชัดเจนขึ้น
สมาคมธนาคารหลัก ๆ ในสหรัฐออกแถลงการณ์ร่วม ขอบคุณรัฐบาลทรัมป์ที่พยายามควบคุม “กฎระเบียบที่เกินความจำเป็น” และระบุว่าคำสั่งใหม่อาจช่วยให้ธนาคารมีความชัดเจนมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
“ผลประโยชน์ของธนาคารคือการรับเงินฝาก ให้สินเชื่อ และให้บริการแก่ลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ น่าเสียดายที่เราถูกขัดขวางจากการกำกับดูแลที่เกินควร การใช้ดุลยพินิจของผู้ตรวจสอบ และกฎระเบียบที่คลุมเครือ” แถลงการณ์ร่วมจาก Bank Policy Institute, American Bankers Association, Consumer Bankers Association และ Financial Services Forum ระบุ
รัฐบาลทรัมป์ยังได้ประกาศก่อนหน้านี้ในปีนี้ว่า หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง 3 แห่งของรัฐบาลกลางจะไม่ใช้มาตรฐานความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (reputational risk) อีกต่อไป ซึ่งในอดีตผู้ตรวจสอบสามารถคัดค้านการให้บริการของธนาคารได้แม้ลูกค้าไม่ได้ทำสิ่งผิดกฎหมาย แต่มีความเสี่ยงจะทำให้ธนาคารเสียชื่อเสียงหรือถูกฟ้องร้องในภายหลัง
ธนาคารหลายแห่งร้องเรียนว่ามาตรฐานนี้คลุมเครือเกินไป และเปิดช่องให้ผู้ตรวจสอบใช้อำนาจเกินขอบเขต
อุตสาหกรรมการเงินยังเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านการต่อต้านการฟอกเงิน (AML) เนื่องจากในหลายกรณี ธนาคารต้องปิดบัญชีของลูกค้าเพียงเพราะธุรกรรมน่าสงสัย โดยไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจน
อ้างอิง : reuters.com