เกษตรกร 20 ล้านคนเสี่ยงกระทบภาษีทรัมป์หนัก เซ่นพิษเวียดนามโมเดล
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นเรื่องการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ว่า รอบที่ไทยได้รับอนุญาตให้เจรจาเหลือเวลาน้อยประมาณ 6 วันก่อนจะถึงกำหนดครบระเวลาในการผ่อนปรนภาษีนำเข้าเหลือ 10% จากสหรัฐฯวันที่ 9 ก.ค. 68
ทั้งนี้ ต้องเรียนว่าตามปกติการเจรจาจะต้องจะต้องเกิดขึ้นหลายรอบ เนื่องจากจะต้องมีการต่อรองเงื่อนไขระหว่างกัน แต่ไทยเพิ่งได้เริ่มเจจาวันที่ 3 ก.ค. 68 ที่ผ่านมาเวลา 21.00 น. ซึ่งต้องมีการปรับหรือแก้ไขข้อเสนอ (Proposal) ใหม่ โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมีการขยายเวลาให้หรือไม่ เพราะเวลานี้กระแสข่าวที่ออกมายังค่อนข้างสับสน
โดยนายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐอเมริกาเคยตอบคำถามที่ว่าเมื่อต้องมีการเจรจา 100 กว่าประเทศ แต่เพิ่งแล้วเสร็จไป 3 ประเทศ คืออังกฤษ เวียดนาม และจีน ซึ่งยังไมีมีการเซ็นสัญญาบรรลุข้อตกลงอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงแค่กรอบเท่านั้น ยังต้องได้รับความยินยอมจากสภาสูง หรือประธานาธิบดีทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนเวียดนามก็เป็นไปตามที่ทราบ
ขณะที่ประเทศอื่นซึ่ง รมว. คลังสหรัฐฯบอกว่าจะขยายเวลาออกไปอีก แต่โดนัลด์ ทรัมป์มีความใจร้อน โดยอาจเลือกใช้กรอบ หรือแนวทางและส่งจดหมายไปยังประเทศที่ยังไม่ได้เจรจา หรือเจรจายังไม่แล้วเสร็จอีก 100 กว่าประเทศ ด้วยวิธีการทยอยส่งครั้งละ 10 ประเทศ อีกทั้งยังมีคำขู่ด้วยว่าบางประเทศอาจจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 70%
“ปัจจุบันยังไม่รู้ว่ากระแสข่าวใดที่ออกมาจริง หรือเท็จ โดยทรัมป์ระบุว่าจะเริ่มส่งตั้งแต่วันศุกร์ของสหรัฐ หรือวันเสาร์ (5 ก.ค. 68) ของไทย ซึ่งยังไม่รู้ว่าประเทศใดที่จะถูกหวยบ้าง และยังไม่รู้ว่าไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีที่เท่าไหร่ และติดอยู่ใน 10 ประเทศแรกเลยหรือไม่ ต้องคอยลุ้นอยู่ทุกวัน เพราะ 100 ประเทศต้องใช้เวลาประมาณ 10 วัน”
อย่างไรก็ดี หากเป็นไปตามที่เคยคาดการณ์ไว้ และเป็นไปในลักษณะที่การเจรจาไม่ทันกำหนดเดดไลน์ ข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับเวียดนามอาจจะเป็นต้นแบบ หรือโมเดลให้กับประเทศในภูมิภาค
และเป็นประเทศที่มีการผลิต และจัดหาสินค้าจากประเทศที่เป็นพันธมิตรทางภูมิรัฐศาสตร์ (Friendshoring) ย้ายฐานออกจากจีนไปสู่ประเทศที่เป็นมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ ซึ่งจะเห็นว่าเวียดนามเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสูงสุดในภูมิภาค และเป็นลำดับ 3 ของโลก โดยในปี 67 มีมูลค่าประมาณ 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะที่ไทยก็เป็น 1 ในประเทศที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯสูงประมาณ 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นเวียดนามจึงเป็นประเทศที่ถูกการประกาศใช้นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 68 ที่ระดับ 46% ส่วนไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าลดหลั่นลงมาที่ 36% จากการได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯน้อยกว่า
ส่วนประเทศที่ถูกเก็บภาษีมากที่สุดคือ สปป. ลาวที่ 49% ขณะที่กัมพูชาอยู่ที่ 48% ส่วนสิงคโปร์ถูกเรียกเก็บต่ำสุดในภูมิภาคที่ 10% ดังนั้น จึงมองว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เมื่อสหรัฐฯไม่สามารถเจรจากับประเทศที่เหลือได้ทัน ก็อาจจะนำแนวทางเดียวกับเวียดนามมาใช้ โดยเก็บภาษี 20% กรณีที่เป็นสินค้าจากเวียดนาม ส่วนกรณีที่เป็นสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์โดยผ่านเวียดนามจะถูกเรียกเก็บที่ 40%
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังมีอีกหนึ่งเงื่อนไขพ่วงด้วยก็คือเวียดนามจะไม่เก็บภาษีใดๆในการนำเข้าสินค้าสู่เวียดนาม หรือภาษีเป็น 0% ทุกรายการ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่
โดยหากสหรัฐฯนำแนวทางดังกล่าวมาใช้ ก็ไม่รู้ว่าไทยจะยอมรับเงื่อนไขการไม่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็ต้องมาลุ้นว่าจะเป็นอย่างไร หากได้ลดภาษีเท่ากับเวียดนามก็ยังพอไปไหว หรือหากได้ลดต่ำกว่าเวียดนาม 5-10% ก็จะเป็นผลดีกับไทย แต่ในทางกลับกันหากไทยไม่ได้รับการลดภาษี และสหรัฐฯยึดแนวทางการเก็บภาษีที่ 36% ไทยจะเสียหายอย่างมาก แต่จะมากแค่ไหนต้องมาดูเป็นรายอุตสาหกรรมอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าหนักใจเวลานี้ก็คือข้อเสนอจากเวียดนามในการเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯเป็น 0% แม้ว่าเบื้องต้นที่ได้มีการตรวจสอบจะไม่กระทบต่อสินค้าอุปโภค บริโภค และเอสเอ็มอี (SMEs) มากมายเท่าใดนัก เพราะอย่างที่ทราบว่าในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯมีการปิดโรงงานและย้ายฐานผลิตไปหมด และส่วนใหญ่จะปรับไปสู่ภาคบริการ โดยเฉพาะดิจิทัล เรื่องคลาวด์ (Cloud) เทคโนโลยีชั้นสูง หรือเว็บไซด์ ซึ่งเป็นสิทธิทางปัญหา
โดยเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) เซมิคอนดักเตอร์ ชิฟชั้นสูง และอุตสาหกรรมทางทหาร คืออาวุธเป็นหลัก ซึ่งเรียกว่าไฮเทคทั้งหมด หรือดาวเทียม หากเป็นด้านพลเรือนก็คือเครื่องบินโดยสาร ซึ่งไม่ค่อยมีประเทศที่แข่งขันกันได้
ดังนั้น สินค้าดังกล่าวเหล่านั้นไทยไม่ได้สนใจมากเท่าใดนัก แต่สิ่งที่ห่วงจากการที่ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเป็น 0% คือสินค้าภาคการเกษตร ซึ่งปัจจุบันสินค้าจากสหรัฐฯที่ส่งออกทางการเกษตรราคาถูก และผลิตได้ประมาณมาก
หากไทยไม่เก็บภาษีก็มีสินค้าเข้ามาถล่มเกษตรกรไทยไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด การเลี้ยงหมู วัว ซึ่งจะกระทบกับเกษตรกร และภาคปศุสัตว์ที่มีผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมประมาณ 20 กว่าล้านราย โดยปกติก็เป็นหมวดที่อ่อนแอ เปราะบางต้องได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่หากมีสินค้าจากสหรัฐฯเข้ามาก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับผลกระทบไหวหรือไม่
แต่กลับกันอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เช่น การนำวัตถุดิบราคาถูกจากสหรัฐฯเข้ามามาแปรรูป ก็จะทำให้อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปอาจจะได้ต้นทุนทีดีขึ้น กำไรมากขึ้น ส่งออกได้มากขึ้น
ในขณะเดียวกันกลลุ่มที่ทำอาหารสัตว์ ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมมีการส่งออกไปทั่วโลก เครื่องในหมู เครื่องในวัวจากสหรัฐฯเหล่านี้ สามารถนำมาผลิตเป็นอาหารสุนัขกับแมว ซึ่งอาจจะทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวโตเพิ่มมากขึ้น และอาจขยายมากกว่าที่ผ่านมา เพราะได้เปรียบ ดังนั้นจึงมีทั้งผู้ที่ได้และเสีย
“สิ่งที่ห่วงก็คือผู้ที่เสียประโยชน์คือเกษตรกรที่มีอยู่กว่า 20 ล้านราย แต่ภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มจะได้เปรียบ โดยเวลานี้ไทยเปรียบเสมือนลุ้นหวยที่ออกทุกวัน เพราะไม่รู้ว่าจะถูกส่งจดหมายมาถึงเมื่อไหร่ และมีเงื่อนไขอย่างไร”