ลูกหลานพระยาละแวก กับ ร่างทรงเจ้ามูลเมือง: ศพคนไทยที่ถูกแลกด้วยศึกของคนสองคน
ชายแดนไทย–กัมพูชาลุกเป็นไฟ 13 ชีวิตชาวบ้านไทยและทหารอีก 1 นายต้องสังเวย “ทักษิณ” เคลมบทบาทราวกับฮีโร่ ขณะที่ ฮุนเซนบิดภาพให้ไทยกลายเป็นผู้รุกราน นี่ไม่ใช่ศึกเพื่ออธิปไตย แต่คือ เกมอำนาจของ “ลูกหลานพระยาละแวก” และ “ร่างทรงเจ้ามูลเมือง” เลือดคนไทยถูกใช้แลก ศักดิ์ศรีปลอม ๆ ของทั้งสอง
ชายแดนไทย–กัมพูชากำลังลุกเป็นไฟ เสียงปืนและระเบิดพรากชีวิตชาวบ้านไทยไปแล้ว 13 ศพ และทหารอีก 1 นาย ความสูญเสียครั้งนี้ไม่ใช่แค่ผลของการปะทะ แต่คือ บทสะท้อนว่าการเมืองไทยปล่อยให้ความขัดแย้งส่วนบุคคลลากชาติสู่บอบช้ำ
ความเดือดร้อนของผู้คนชายแดนกลับถูกดึงเข้าไปใน เกมทางการเมือง ระหว่าง ทักษิณ และ ฮุนเซน ที่ใช้ทุกเหตุการณ์เป็น หมากบนกระดานอำนาจ ภาพนี้ทำให้คนไทยสิ้นศรัทธาในระบบ และตั้งคำถามว่า อธิปไตยของชาติถูกย่ำยีด้วยความเห็นแก่ตัวเพียงใด
ทักษิณ ชินวัตร แม้ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ โพสต์ X ล่าสุดกลับแสดงตัวราวกับผู้บัญชาการที่ชี้ขาดทุกอย่าง เขา เคลมสถานการณ์ราวกับตัวเองเป็นฮีโร่ ทั้งที่ตัวเองคือหนึ่งในต้นตอที่ทำให้ปัญหาบานปลาย
เมื่อ การปกป้องอธิปไตยถูกแทนที่ด้วยการสร้างภาพส่วนตัว ความสูญเสียของประชาชนจึงถูกลดค่า ประเทศชาติกลายเป็น ฉากหลังของเกมอำนาจที่ไม่เคยเห็นหัวคนตัวเล็กๆ
วลี “พระยาละแวก” ที่ทักษิณหยิบมาใช้โจมตีฮุนเซน ไม่ใช่เพียงคำด่าทั่วไป แต่มันคือ“วาทะสะกิดบาดแผลประวัติศาสตร์” ที่บรรทุกน้ำหนักมาก เพราะพระยาละแวกคือกษัตริย์กัมพูชาที่เคยฉวยโอกาสโจมตีอยุธยาในยามอ่อนแอ และถูกจดจำว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการทรยศและแสวงหาผลประโยชน์
การหยิบคำนี้มาใช้ ไม่ได้ทำให้ทักษิณสูงส่งกว่าฮุนเซน ตรงกันข้าม มันสะท้อนว่าเขากำลังใช้ วาทะประวัติศาสตร์เพื่อยกระดับตัวเอง ทั้งที่ความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างทักษิณกับฮุนเซนในอดีต ก็เป็น รากของปัญหาที่ไม่เคยถูกแก้
แทนที่จะผลักดันให้รัฐบาลในมือพรรคของตน เร่งแก้ปัญหาผ่านการเจรจาและดูแลครอบครัวผู้สูญเสีย ทักษิณกลับ เลือกโพสต์สร้างภาพมากกว่าการลงมือแก้จริง ซึ่งไม่ได้ทำให้คนไทยมั่นใจว่าประเทศจะปลอดภัยขึ้น
การเมืองไทยจึงถูกทำให้ดูน่าขัน เมื่อ เสียงของอดีตผู้นำที่มีคดีติดตัวดังกว่าเสียงของรัฐ และสิ่งนี้สะท้อนถึง ความล้มเหลวของโครงสร้างอำนาจไทย
ความขัดแย้งชายแดนครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สนามรบ แต่ยังสะท้อนผ่าน ถ้อยคำของคนสองคน ที่เปิดศึกกันกลางสื่อออนไลน์
ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ใน X ว่า“มีหลายประเทศเป็นห่วงสถานการณ์สู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา เสนอตัวมาช่วยไกล่เกลี่ย ผมเลยขอขอบคุณทุกคนไป แต่บอกว่าอยากจะขอเวลาหน่อย เพราะคงต้องปล่อยให้ทางทหารไทยทำหน้าที่ช่วยสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน #มันช่างเหมือนพระยาละแวกเสียจริงๆ”
จากนั้น ฮุนเซน โต้กลับผ่านเฟซบุ๊ก Samdech Hun Sen of Cambodia ว่า“ผมไม่แปลกใจกับทัศนคติของทักษิณที่มีต่อผม… สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือ เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารชาวไทยมุสลิมหลายร้อยคนในจังหวัดภาคใต้เมื่อปี 2547”
ถ้อยคำตอบโต้กันเช่นนี้ สะท้อนว่าศึกชายแดนครั้งนี้มีรากมาจากความขัดแย้งของสองคน มากกว่าการแก้ปัญหาที่คำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก
ความขัดแย้งชายแดนครั้งนี้เริ่มจากการยั่วยุของกัมพูชา ทั้งการวางกับระเบิดและการยิงปะทะ ทำให้กองทัพไทยต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย แต่สถานการณ์กลับบานปลายจนกลายเป็น สงครามย่อมๆ ที่มีคนไทยต้องสังเวยชีวิตอย่างไม่ควรเกิดขึ้น
ในยามที่ความตึงเครียดสูงขึ้น ทักษิณกลับเคลมสถานการณ์ราวกับตัวเองเป็นฮีโร่ พูดราวกับเป็นคนชี้ขาด ทั้งที่เป็นเพียงหนึ่งในตัวแปรที่ซ้ำเติมปัญหานี้ให้ซับซ้อน
ขณะที่ ฮุนเซนบิดเบือนข้อเท็จจริงใส่ร้ายไทย เพื่อสร้างภาพว่าเป็นผู้ถูกกระทำ ทั้งที่กัมพูชาคือฝ่ายเริ่มโจมตี กลยุทธ์นี้ทำให้ ภาพลักษณ์ไทยเสียหาย และบั่นทอน ขวัญกำลังใจของประชาชน
การที่ชีวิตของคนไทยต้องเสียไปเพราะ ความบาดหมางของคนสองคน เป็นเรื่องที่ไม่ควรยอมให้เกิดซ้ำ ประเทศไทยต้องไม่กลายเป็น เวทีประลองอำนาจของใครอีกต่อไป
คำว่า“พระยาละแวก” ที่ทักษิณใช้ด่าฮุนเซน ไม่ได้ทำให้ดูสูงส่งกว่าคู่ขัดแย้งเลย เพราะ ความละโมบและความเห็นแก่ตัวของทั้งคู่แทบไม่ต่างกัน การพูดจาเคลมบทบาทก็เพื่อยกตัวเอง ไม่ใช่เพื่อปกป้องประชาชน
ในอดีตยังเคยมีความเชื่อจากกลุ่มผู้สนับสนุนบางส่วนว่า ทักษิณคือร่างทรงเจ้ามูลเมืองที่กลับชาติมาเกิด เจ้ามูลเมืองในตำนานเคย ก่อสงคราม ฆ่าผู้คนจำนวนมาก และกวาดเอาทรัพย์สินของชาวพม่า เป็นกรรมหนักที่ต้องสะเดาะด้วย พิธีนุ่งขาวห่มขาว ทำพิธีล้างบาป เพื่อสร้างบารมีให้พ้นเคราะห์
ความเชื่อเช่นนี้ยิ่งทำให้ ภาพทักษิณไม่เคยหลุดจากเงาของความโลภและความอยากครอบครองทุกอย่างเพื่อตัวเอง
เมื่อคำ“พระยาละแวก” ถูกหยิบมาใช้ ฮุนเซนกับทักษิณจึงเหมือนอยู่ในกระจกบานเดียวกัน หากฮุนเซนคือลูกหลานพระยาละแวก ทักษิณก็คือร่างทรงของเจ้ามูลเมืองนั่นเอง
ทั้งสองยอมแลกทุกสิ่งเพื่อศักดิ์ศรีปลอม ๆ แม้ต้องใช้เลือดคนไทยเป็นค่าจ่ายก็ตาม
เสียงปืนที่ชายแดนอาจเงียบลงในไม่ช้า แต่บาดแผลจากความสูญเสียยังจะฝังลึก ครอบครัวของผู้เสียชีวิต 13 ศพ และทหารไทยอีก 1 นาย ต้องเผชิญความจริงอันขมขื่นว่าพวกเขาเป็นเพียงเหยื่อของเกมอำนาจที่ไม่ได้เกิดจากประชาชนเลยแม้แต่น้อย
กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มความรุนแรง ทั้งการวางกับระเบิดและการยิงปะทะ ขณะที่ทักษิณกลับเลือกใช้โพสต์เคลมบทบาทราวกับตนเป็นผู้ชี้ขาดแทนรัฐ ทั้งที่ตนเองคือหนึ่งในตัวแปรที่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ศึกชายแดนครั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็น เรื่องอธิปไตยของชาติ แต่กลับถูกลากให้ปะทุเพราะ เกมอำนาจของ “ลูกหลานพระยาละแวก” และ “ร่างทรงเจ้ามูลเมือง” เลือดและชีวิตของคนไทยจึงถูกทับถมลงเป็นราคาที่ทั้งสองพร้อมจ่าย เพียงเพื่อศักดิ์ศรีปลอม ๆ ของตัวเอง