‘เมื่อสุราไม่ใช่สินค้าธรรมดา’ ความท้าทายใหม่ของนโยบายเลิกเหล้า
‘เมื่อสุราไม่ใช่สินค้าธรรมดา’
ความท้าทายใหม่ของนโยบายเลิกเหล้า
การดื่มเหล้า เป็นหนึ่งในภาพวิถีชีวิตของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานเลี้ยง งานประเพณี เจ้าภาพจะต้องควักกระเป๋าซื้อเหล้ามาเลี้ยงแขกในงาน บ้างก็เพื่อสร้างความสนุกเฮฮา บ้างก็เพื่อเลี้ยงตอบแทนคนที่มาช่วยงาน ทำให้การดื่มเหล้าเป็นเรื่องปกติ เป็นสินค้าธรรมดาทั่วไป
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ลงพื้นที่ติดตามการรณรงค์ “งดเหล้าเข้าพรรษา” ที่ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา ที่มีนโยบายหนุนเสริมให้คนในพื้นที่ร่วมกันลด ละ เลิกเหล้า ผ่านกิจกรรม “ชวน ช่วย ชมเชียร์” โดยชมรมคนหัวใจเพชร และกลุ่มพลังหญิงหัวใจเพชร ร่วมกันขับเคลื่อนชุมชนปลอดเหล้า ควบคู่กับการสร้างอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
ชาวอำเภอบางกล่ำ จ.สงขลา เป็นตัวอย่างของแนวคิดการปรับวิถีชีวิตเพื่อเลิกเหล้า จากเดิมคนในชุมชนที่ว่างเว้นจากงานกรีดยางช่วงเช้าถึงบ่าย ก็จะตั้งวงกินเหล้าตลอดทั้งเย็น ได้เปลี่ยนมาสร้างงานสร้างอาชีพใช้เวลาเวลาว่างจากงานหลักมาทำงานหารายได้เสริม กลุ่มพลังหญิงหัวใจเพชรสมาชิกราว 50 คน รวมตัวกันทำขนมท้องถิ่น “ข้าวต้มใบพ้อ” ออกไปขายตามตลาด เอากำไรมาแบ่งกันเกิดเป็นเศรษฐกิจในชุมชน ขณะเดียวกันได้เปิดศูนย์ฝึกศิลปินพื้นบ้านเพื่อเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ ได้ใช้เวลาว่างจากการเรียนมาฝึกทักษะการเล่นดนตรีพื้นบ้าน ส่งเสริมการสร้างอาชีพในอนาคต
นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 สสส. ได้อธิบายถึงแนวคิดการรณรงค์เลิกเหล้าเข้าพรรษาในปี 2568 ว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีความเชื่อมั่นในค่านิยมทางศาสนาน้อยลง ทำให้คนจะเลิกเหล้าได้ ต้องเกิดจาก “แรงเสริม” หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลด ละ เลิกดื่มเหล้าได้ ไม่ว่าจะเป็นแรงเสริมด้านเศรษฐกิจครอบครัว แรงเสริมด้านสุขภาพ แรงเสริมด้านความอบอุ่นในครอบครัว หลายคนที่เลิกดื่มเหล้าได้ เพียงเพราะอยากมีเงินเหลือเพื่อซื้อของให้ลูกได้ ฉะนั้น จึงเกิดคำว่า “เลิกเหล้า เลิกจน” ขึ้นมา เพราะเฉลี่ยการใช้เงินเพื่อซื้อเหล้ามาดื่มเองในครอบครัวจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 – 5,000 บาทต่อเดือน ส่งผลให้ตลาดธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย กลับโตขึ้นเรื่อยๆ มูลค่าเกือบ 6 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน แอลกอฮอล์ยังเป็นต้นเหตุของ 200 โรคทางสุขภาพที่ทำลายผลิตภาพการทำงานของคนที่ดื่ม เสียทั้งเงิน เสียทั้งสุขภาพ ก่อเป็น “ความจนข้ามรุ่น” ยกตัวอย่างที่เห็นได้ประจำ คนเป็นเสาหลักของบ้าน ดื่มเหล้าแล้วไปประสบอุบัติเหตุ ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ ลูกจะต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำงาน เพื่อเลี้ยงครอบครัวแทน กลายมาเป็นเสาหลักของบ้านแทน
“ตลาดบลูโอเชี่ยน” (Blue Ocean) ของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ตั้งเป้าหมายเป็นกลุ่มเยาวชนและผู้หญิงมากขึ้น นับเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพในการซื้ออีกมาก การปรับกลิ่น ปรับรสให้เหล้าที่เดิมมีรสชาติขม กลิ่นแรง กลายมาเป็นเครื่องดื่มที่มีความหวาน มีกลิ่นหอม ทำให้ดื่มง่ายขึ้น นี่เป็นกลยุทธ์ใหม่ของตลาดที่สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าอัตราการดื่มของผู้หญิงไทยเพิ่มสูงขึ้น ควบคู่ไปกับกับอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่มากขึ้นเช่นกัน จึงทำให้เห็นว่ากลยุทธ์ใหม่ที่เกิดขึ้นนี้เริ่มได้ผลในประเทศไทยแล้ว สอดคล้องกับอัตราการเกิดมะเร็งเต้านมในหญิงไทย ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะเหล้าเป็นปัจจัยกระตุ้นต่อการเกิดมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็น 1 ใน 200 โรคจากการดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานของ สสส. สิ่งที่เราทำในอดีตแล้วได้ผลดี ปัจจุบันกลับได้ผลน้อยลง เพราะโลกโซเชียลเป็นแรงกระตุ้นการเข้าถึงของเยาวชน ฉะนั้น เราจึงพยายามปรับรูปแบบการทำงาน ให้ สสส. เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น แข่งกับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“สุราไม่ใช่สินค้าธรรมดา” กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในต่างประเทศ มีความรัดกุมกว่าประเทศไทย ผู้ที่จะขายเหล้าได้จะต้องมีการขออนุญาตและผ่านการทำประชาคมในชุมชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความรับผิดชอบของผู้ขาย ขณะที่ประเทศไทยเพียงแค่มีใบอนุญาตจำหน่าย ก็สามารถขายได้ทั่วไป ซึ่งสถิติการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนในไทย เฉลี่ย 1.6 หมื่นรายต่อปี มีข้อมูลระบุว่า หากมีการบังคับใช้มาตรการสวมหมวกกันน็อกและไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในขณะขับขี่ได้ ก็จะลดการเสียชีวิตลงได้ 8,000 – 9,000 รายต่อปี ทั้งนี้ สุราไม่ใช่สินค้าธรรมดา แม้ว่าในบางประเทศจะใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมที่เหมาะสม ให้สัดส่วนการส่งเสริมกับควบคุมอยู่ในระดับที่สมดุลกัน จึงเป็นความท้าทายใหม่ของ สสส. ที่ต้องต่อสู้กับนโยบายเปิดการท่องเที่ยวด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกบางสถานที่ให้ขายเหล้าในวันพระใหญ่ การปลดล็อกเวลาการขายเหล้า เป็นต้น
“เหล้าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องของการแพทย์ แต่เหล้ากำลังซึมอยู่ในวิถีชีวิต อยู่ในวัฒนธรรม อยู่ในความเชื่อ ต้องใช้หลายศาสตร์ เพราะลำพังศาสตร์ทางหมอใช้ได้น้อยมาก ฉะนั้น การใช้พลังชุมชนจะเป็นอีกหนึ่งศาสตร์ ที่จะเข้ามาช่วยให้คนในชุมชนลด ละ เลิกดื่มแอลกอฮอล์ได้ ลดการดื่มในระดับที่เป็นปัญหา ให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นปัญหา ลดการดื่มในระดับที่ไม่เป็นปัญหา ให้คนสามารถเลิกดื่มได้ พร้อมกันนั้นก็ต้องสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน โดยเฉพาะการไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็ก ไม่ขายให้คนเมา” นพ.สุรเชษฐ์ กล่าว
สสส.ได้มอบทุนให้กับศูนย์วิจัยปัญหาสิ่งเสพติด มหาวิทยาลัยสงขลา เพื่อศึกษาข้อมูลจากทั่วโลก โดยพบว่าบางประเทศที่เดิมทีมีการท่องเที่ยวสูง แต่เมื่อเริ่มมีผู้ดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น มีคนเมามากขึ้น ความปลอดภัยเริ่มน้อยลง สุดท้ายนักท่องเที่ยวก็เริ่มหดหาย เริ่มเป็นปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของการบังคับใช้กฎหมายในไทยยังเป็นข้อจำกัดในการแก้ปัญหา อย่างเช่น ประเทศเวียดนาม มาศึกษาดูงานเรื่องการควบคุมเหล้าในประเทศไทย เมื่อเขากลับไปทำกฎหมายใหม่ มีการกำหนดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ต้องไม่เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประเทศไทยยังกำหนดที่ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทำให้อัตราการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศเวียดนามน้อยกว่าไทยอย่างมาก
เมื่อไม่นานมานี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำแนะนำกับนานาชาติเพื่อเป็นเป้าหมายเดียวกันว่า “ภายในปี 2035 ภาพรวมของโลกจะต้องขึ้นภาษีเหล้า ภาษีบุหรี่ และภาษีน้ำตาล ให้ได้เฉลี่ยร้อยละ 50 เพราะทั้ง 3 สิ่งนี้ก่อปัญหาสุขภาพ หากลดการบริโภคได้ ก็จะลดอัตราการตายของคนที่ไม่สมควรตายได้ประมาณ 50 ล้านคนทั่วโลก” เพราะมีการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามาตรการทางภาษี เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะลดการบริโภคของคนได้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการใช้มาตรการทางสังคมและมาตรการทางกฎหมาย ควบคู่กันไป เพื่อให้เราทำได้ตามเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลกประกาศ
“อัตราการดื่มเหล้าของไทย สูงมากในภาคเหนือ โดยเฉพาะลำปาง แพร่และน่าน ส่วนทางภาคใต้จะน้อยกว่า แต่ก็จะไปมากในเรื่องของการสูบบุหรี่ ปัจจัยการดื่มเหล้าของภาคใต้และภาคอื่นที่เหมือนกันคือ ดื่มในประเพณี ดื่มในงานต่างๆ โดย สสส. เข้าไปสนับสนุนหลายพื้นที่ให้เป็นประเพณีปลอดเหล้าไปได้มาก แต่ก็ยังมีกระแสที่พยายามทำให้เกิดการดื่มมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็น Endless War สงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทั่วโลกก็เป็นเช่นนี้ ฉะนั้นเราต้องสร้างความรู้เท่าทัน สร้างความตระหนักรู้ของสังคม สร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้คนไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้” นพ.สุรเชษฐ์ กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘เมื่อสุราไม่ใช่สินค้าธรรมดา’ ความท้าทายใหม่ของนโยบายเลิกเหล้า
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th