กัมพูชาแถลงต่อ UNSC ประเด็นไหน "ขัดแย้ง" กับความจริงของไทย
UNSC ปัดคำร้องกัมพูชา ไม่ถือเป็นภัยคุกคามสันติภาพ
การประชุมลับของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ที่เกิดขึ้นสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เวลาประมาณ 9.00 น. ของสหรัฐฯ ซึ่งตรงกับกลางดึกเวลา 02.00 น.ของไทย หลังจากที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ส่งหนังสือร้องขอการประชุมฉุกเฉิน ซึ่งผลการประชุมออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่ประชุมซึ่งมีประเทศสมาชิก 15 ประเทศ รวมทั้งไทยและกัมพูชาเข้าร่วม ได้สรุปให้ ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ และ แก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาสันติวิธี พร้อมสนับสนุนบทบาทของอาเซียนตามกฎบัตรอาเซียน โดยย้ำว่าสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ถือเป็นภัยคุกคามสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ จึงไม่มีการออกเอกสารหรือมติพิเศษจาก UNSC
กัมพูชาโจมตี ไทยใช้ F-16
ก่อนที่ผลการประชุมจะออกมาในรูปแบบนี้ กระทรวงต่างประเทศของไทยได้เปิดเผยเนื้อหาถ้อยแถลงทั้งหมด ที่กล่าวโดยนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ
แต่ในฝั่งของกัมพูชาไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาต่อสาธารณะ มีเพียงการแถลงข่าวของนายชุม สุนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ โดยเนื้อหาบางส่วน และการรายงานข่าวของสื่อหลักกัมพูชา ระบุไว้ดังนี้
คำแถลงกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาต่อ UNSC: คำกล่าวสุนทรพจน์ของกัมพูชาใน UN เน้นย้ำการโจมตีอย่างหนักของไทยด้วยเครื่องบินขับไล่ F-16 และระเบิดพวง
นายชุม สุนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ระหว่างการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ผู้แทนถาวรของกัมพูชาประจำนครนิวยอร์ก ซึ่งกล่าวต่อหน้าประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงการโจมตีขนาดใหญ่ของไทยต่อกัมพูชา โดยใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 รถถัง ระเบิดพวง และอาวุธหนัก ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสร้างความเสียหายต่อแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
“ผู้แทนถาวรของกัมพูชาได้แจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการรุกรานครั้งใหญ่ของไทยในดินแดนกัมพูชาตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 โดยมุ่งเป้าไปที่ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทพระวิหาร พร้อมทั้งใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย รวมถึงเครื่องบิน F-16 และระเบิดพวง” นายสุนทรีกล่าว
กัมพูชายังเน้นย้ำถึงพลเรือนที่เสียชีวิตและความเสียหายของสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมที่เกิดจากการโจมตีของไทย ในคำกล่าวสุนทรพจน์ กัมพูชาได้เรียกร้องให้มีการหยุดยิงโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ
นอกจากนี้ เขายังอ้างถึงรายงานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เผยแพร่ก่อนการประชุม ซึ่งระบุว่า
- กัมพูชาได้ยื่นขอจัดการประชุมฉุกเฉินอย่างเป็นทางการก่อนที่ไทยจะตอบสนอง ในขณะที่ไทยไม่เคยร้องขอการประชุมดังกล่าว
- นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ได้เสนอการหยุดยิง ซึ่งกัมพูชายอมรับ ไทยได้ตกลงในตอนแรก แต่กลับเปลี่ยนจุดยืนในภายหลัง
ชวนจับโป๊ะ อะไรบ้างไม่ตรงไทย
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีความตึงเครียดขึ้น โดยมีเหตุการณ์ปะทะกันหลายครั้ง และทั้งสองฝ่ายมีประเด็นที่พูดไม่ตรงกันหลายจุด มีประเด็นสำคัญอะไรบ้างที่ไม่ตรงกัน
- ใครคือตัวต้นเรื่อง
ฝ่ายไทย: เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 68 กองทัพบก โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลตในพื้นที่อ้างสิทธิ์บริเวณช่องบก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการแบ่งเขตแดนอย่างเป็นทางการ ฝ่ายไทยได้จัดชุดประสานงานเพื่อไปเจรจาแต่กัมพูชาเริ่มใช้อาวุธ ทำให้ไทยต้องตอบโต้
ฝ่ายกัมพูชา: กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ โดยอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนในสนามเพลาะ ซึ่งเป็นฐานทัพของกองทัพกัมพูชามาเป็นเวลานาน ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ขณะฮุน เซนเล่นใหญ่โพสต์สนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะส่งทหารและอาวุธหนักไปที่ชายแดน
- การอ้างสิทธิเหนือพื้นที่และแผนที่
ฝ่ายกัมพูชา: กัมพูชาอ้างอิงและยึดถือ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 (หนึ่งต่อสองแสน) ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมาธิการผสมระหว่างสยามและฝรั่งเศส เนื่องจากแผนที่นี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เคยใช้อ้างอิงในการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ. 2505 ในหลายพื้นที่พิพาท โดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหารและ “สามเหลี่ยมมรกต” มักจะล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ไทยเคยถือครอง ทำให้กัมพูชาได้เปรียบหากยึดตามแผนที่นี้
ฝ่ายไทย: โต้แย้งว่า แผนที่ปี พ.ศ. 2450 ซึ่งกัมพูชาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการอ้างสิทธิเหนือดินแดนนั้นไม่ถูกต้อง ไทยยืนยันและยึดถือ แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 (หนึ่งต่อห้าหมื่น) ซึ่งเป็นแผนที่ที่ละเอียดกว่า และจัดทำโดยกรมแผนที่ทหารของไทย ไทยโต้แย้งว่าแผนที่ 1:50,000 มีความแม่นยำสูงกว่าในการแสดงภูมิประเทศจริง โดยเฉพาะแนว สันปันน้ำ (watershed line) ซึ่งไทยเชื่อว่าเป็นหลักการที่ตกลงกันไว้ตามสนธิสัญญาในการปักปันเขตแดน
- กับระเบิด ของใหม่หรือของเก่า?
ฝ่ายไทย: ฝ่ายไทยเชื่อว่าทุ่นระเบิดที่ตรวจพบและทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บนั้นเป็น ทุ่นระเบิดที่เพิ่งวางใหม่ และไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าที่หลงเหลือจากสงคราม โดยเฉพาะมีการระบุถึงทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 อีกทั้งเส้นทางลาดตะเวนเป็นเส้นทางที่ทหารไทยต้องปฏิบัติการเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว จึงไม่ใช่ระเบิดที่หลงเหลือมาจากสงครามอย่างแน่นอน
ฝ่ายกัมพูชา: ทางการกัมพูชายืนยันว่าทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบนั้นเป็นทุ่นระเบิดเก่า ที่ยังคงตกค้างอยู่ในพื้นที่ชายแดนจากสงครามในอดีต และไม่ได้มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ตามที่ไทยกล่าวอ้าง นอกจากนี้ยังมีการระบุว่าพื้นที่ชายแดนหลายร้อยกิโลเมตรในอาณาเขตของกัมพูชายังคงเต็มไปด้วยทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิด
- ต่างฝ่ายต่างยัน ไม่ได้เปิดฉากยิงก่อน
ฝ่ายไทย: ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน ในทุกเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นวันที่ 24 กรกฎาคม 68 โดยทหารไทยได้มีจากส่งทีมเจรจาแจ้งว่าจะปิดปราสาทตาเมือนธมเพื่อความปลอดภัย แต่ทหารกัมพูชาเข้ามาประชิดลวดหนามที่กั้นพร้อมอาวุธ ก่อนจะเปิดฉากยิงทหารไทยในช่วงเช้า เป็นเหตุให้กองทัพไทยต้องโจมตีเพื่อป้องกันตนเอง
ฝ่ายกัมพูชา: แถลงว่ากองทัพไทยเปิดฉากโจมตี "โดยมีเจตนาและวางแผนล่วงหน้า" ตามแนวชายแดนกัมพูชาโดยการโจมตีดังกล่าวได้มุ่งเป้าไปยังพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ที่บริเวณปราสาทตาแกบและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งถือเป็น "การทำลายมรดกโลกโดยเจตนา"
- กลไกแก้ปัญหา: เอะอะจะขึ้นศาลโลก
ฝ่ายกัมพูชา: ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ อีกครั้งเพื่อยุติข้อพิพาทเรื่องพรมแดน และขอให้ศาลโลกเป็นผู้ตัดสิน เนื่องจากกัมพูชาเคยได้รับชัยชนะในคดีปราสาทพระวิหารจากศาลโลกในปี พ.ศ. 2505 ทำให้เชื่อว่าการนำคดีขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้งอาจเป็นแนวทางที่ได้เปรียบ
ฝ่ายไทย: ได้ ปฏิเสธอำนาจศาล ในการพิจารณาคำร้องล่าสุดของกัมพูชา และยืนยันการใช้สิทธิป้องกันตนเองตามหลักสากล ประเทศไทยยืนยันมาโดยตลอดว่าจะใช้กลไกการเจรจาแบบทวิภาคี หรือการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐโดยตรงเป็นหลักในการแก้ไขปัญหาชายแดน ไทยมองว่าปัญหาเขตแดนเป็นเรื่องของอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งควรแก้ไขด้วยการเจรจาโดยตรงระหว่างคู่กรณี เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ยอมรับร่วมกันได้