หุ้นไทยรีบาวด์ 3 จุด รอเคลียร์ภาษีทรัมป์! เคาะเป้าดัชนีสิ้นปีเหลือ 1,290 จุด
ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายวันนี้ (7 ก.ค.68) อยู่ที่ 1,123 จุด เพิ่มขึ้น 3.06 จุด คิดเป็น +0.27% มูลค่าการซื้อขาย 31,447.59 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุด 1,123 จุด ลดลงต่ำสุด 1,107.46 จุด
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หุ้นไทยพลิกกลับมาปิดบวก 3.06 จุด แตะที่ระดับ 1,123 จุด แต่มูลค่าเบาบาง 3.1 หมื่นล้านบาท นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายรอตัวเลขภาษีใหม่จาก"โดนัล ทรัมป์"
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับขึ้นพยุงดัชนี คือ กลุ่ม ICT ADVANC, TRUE กลุ่มค้าปลีก CPALL, CPAXT, HMPRO ธนาคาร BBL, KBANK, KTB, TCAP ส่วนกลุ่มที่ปรับลง คือ กลุ่มนิคมฯ AMATA, WHA กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, BGRIM, GPSC กลุ่มส่งออกอาหาร CPF, TFG, BTG
หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ ADVANC, TRUE มีข่าวดีวานนี้ กสทช. มีมติ 5:1 รับรองผลประมูลคลื่นชุดใหม่ปลดล็อก Overhang ให้กับ TRUE และ ADVANC ผสานกับวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบทวิเคราะห์แนะนำซื้อ ADVANC เป้า 350 บาท หลังทำ Preview คาดมีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 31%จากปีก่อน และคาดว่าจะจ่ายปันผลช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 6.56 บาทต่อหุ้นให้ Dividend yield 2.4%
หุ้น CPALL , CPAXT มีจิตวิทยาบวกจากข่าว MQDC ได้รับ Funding จาก SCB ช่วยให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่องสภาพคล่องและการ Roll over หุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดเป็นจิตวิทยาบวกกับหุ้นในกลุ่ม CP ทั้งระบบ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเรายังชอบ CPALL และเลือกเป็น Top Pick ของกลุ่ม เป้าหมาย 80 บาท
หุ้น AMATA, WHA, ROJNA นักลงทุนเทขายหลังไทยยังไม่บรรลุดีลการค้ากับสหรัฐ กังวลความสามารถการแข่งขันลดลงโดยเฉพาะหากไทยถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราที่สูงกว่าเวียดนาม มากกว่า 20%
และ หุ้น CPF, TFG, BTG นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานออกรายงาน Soft commodity พบว่าราคาหมูในไทยและเวียดนามปรับลงต่อเนื่องล่าสุด -2.3% และ 2.9%w-w ในขณะเดียวกันมีความเสี่ยงที่ไทยจะถูกสินค้าเกษตรจากสหรัฐเข้ามาทุ่มตลาดหากไทยเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 0% เหมือนเวียดนาม
หั่นเป้าสิ้นปีเหลือ 1,290 จุด
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา Head of Investment Solutions บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MST เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ลงเหลือ 1,290 จุด จากเดิม 1,400 จุด สะท้อนความเสี่ยงของตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจัยที่มีผลกระทบในช่วงครึ่งปีหลังหลักๆคือ ความคืบหน้าการเจรจาภาษีการค้ากับประเทศสหรัฐฯและการเมืองภายในประเทศที่ไม่ชัดเจน
ส่วนการเจรจาเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐฯแม้จะยังไม่มีความชัดเจน แต่คาดว่าไทยอาจจะถูกเก็บภาษีที่น้อยกว่าประเทศเวียดนาม เพราะเวียดนามมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯที่มากว่าประเทศไทยจึงมองว่าดาวน์ไซด์ของดัชนีจะจำกัดและคาดว่าจะมีอัพไซด์หากการเจรจาภาษีคืบหน้าหรือต่ำกว่า 18%
ด้านการเมืองในประเทศ แม้มีผลต่อทิศทางการลงทุนบ้าง แต่เชื่อว่าหากไม่มีความรุนแรงผลกระทบไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติมีความคุ้นเคยกับการชุมนุมของประเทศไทยในอดีต
ผลกระทบน่าจะมีต่อเศรษฐกิจมากกว่า ตลาดประเมินตัวเลข GDP ไทยปีนี้โต 1.8% จากสมมุติฐานภาษีการค้ากับสหรัฐฯที่ระดับ 36%
ขณะที่คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในไตรมาส 2/68 มองว่าน่าจะดีกว่าคาดเล็กน้อย และผ่านจุดต่ำสุดหลังจากไตรมาส 1/68 นักวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการณ์กำไร บจ.
อย่างไรก็ตามแนะนำเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ได้แก่ ADVANC และ PR9 เนื่องจากคาดว่า 2 หุ้นนี้มีผลกระทบจำกัดด้านผลกระทบภาษีการค้ากับสหรัฐฯ