โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

SMEs-การเกษตร

SCB WEALTH จัดสัมมนากลยุทธ์ฝ่าวิกฤตท่ามกลางความไม่แน่นอนให้กลุ่มลูกค้า Private Banking

AEC10NEWs

อัพเดต 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 19 ชั่วโมงที่ผ่านมา • AEC10NEWS

SCB WEALTH จัดงานสัมมนาให้แก่กลุ่มลูกค้า PRIVATE BANKING ภายใต้หัวข้อ “Solution Amidst Uncertainty ” โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญของBlackRock ร่วมเป็นผู้บรรยายพิเศษ มุ่งเน้นการถอดรหัสทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทย พร้อมทั้งแนวทางบริหารพอร์ตการลงทุนให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ยังคงปกคลุมเศรษฐกิจโลก

งานสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายแพททริกปูเลีย (กลาง) รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมด้วย นายนิคิลมัจรา (ที่2ขวา) Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์กฟัสชาร์ด (ที่ 3 ขวา) Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock ดร.ปิยศักดิ์มานะสันต์ (ที่3 ซ้าย) หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ นายธณาพลอิทธินิธิภัค (ที่ 2ซ้าย) Head of Thailand Business, BlackRock และนายรุ่งโรจน์เสกสรรค์วิริยะ (ที่1ซ้าย) ผู้อำนวยการ Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมงานสัมมนา เมื่อเร็วๆนี้ ณ โรงแรมโซ แบงคอก กรุงเทพฯ

ดร.ปิยศักดิ์มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า นโยบายภาษีนำเข้า ( Reciprocal Tariff ) ของรัฐบาลทรัมป์ ทำให้ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลสูงกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในเอเชีย ต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูง ซึ่งตามการประเมินภาษีเฉลี่ยที่สหรัฐฯจัดเก็บทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 28% อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะมีการเจรจา ทำให้ภาษีที่รัฐบาลทรัมป์จะจัดเก็บทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 15% ส่งผลให้มีการปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงในปีนี้ประมาณ 0.8% อยู่ที่ 2.5% จากผลกระทบของสงครามการค้าที่เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น แม้ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจะดีขึ้นชั่วคราวก่อนสงครามการค้าจะรุนแรง โดยล่าสุด เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอลงของภาคการผลิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และเอเชีย สอดคล้องกับภาษีการค้าที่เริ่มส่งผลทำให้เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.38% จนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง (Stagflation) เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3.0% โดยเร่งขึ้นมากในครึ่งหลังของปี 2568 ทำให้เฟดต้องควบคุมความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ จึงอาจจะส่งผลให้ไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงได้ ส่วนนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางส่วนใหญ่ ยกเว้นสหรัฐ และญี่ปุ่น จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะต่อไป เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะลอลง ในขณะที่สหรัฐจะเผชิญกับภาวะ Stagflation มากขึ้น และญี่ปุ่นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั้งสองแห่งอาจต้องทำนโยบายการเงินตึงตัวต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง เนื่องจากดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเกินดุลลดลงและขาดดุลมากขึ้น เงินไหลเข้าผ่านตลาดเงินตลาดทุนที่ลดลงตามทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน และปัจจัยเชิงฤดูกาลจากแนวโน้มค่าเงินบาทที่มักจะอ่อนค่าช่วงกลางปี

นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่ส่งออกไทยจะหดตัวลดลงจาก -3.0% มาอยู่ที่ -0.5% YoY จากรายได้การส่งออกที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่มองว่า ช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงเนื่องจากผู้ประกอบการจำนวนมากได้เร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ล่วงหน้าไปแล้ว นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากแรงกดดันด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่เราคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มอีก 2 ครั้ง หลังจากที่ประกาศปรับลดดอกเบี้ยในเดือน เมษายน ที่ผ่านมา ได้ลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.75% และ มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคม และตุลาคม เนื่องจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากสงครามการค้าโลก ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.3% หรือน้อยกว่านั้น รวมทั้ง อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย การปล่อยสินเชื่อที่หดตัว และภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัวปัจจัยเหล่านี้ล้วนสนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในการประชุมครั้งถัดไป ในเดือนสิงหาคม และอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ หากสงครามการค้าและ/หรือสถานการณ์การเมืองในประเทศ มีความรุนแรง และกระทบเศรษฐกิจมากขึ้น กนง. อาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ

สำหรับประมาณการค่าเงินบาทเฉลี่ยในปี 2568 อยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การชะลอของเงินทุนไหลเข้าประเทศไทย การส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัว การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่ำกว่าคาด และข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยที่ยังพอช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น เช่น การเร่งการส่งออก แต่ยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถพึ่งพาได้ในระยะยาว

แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในไตรมาส3 ได้ประมาณการณ์เศรษฐกิจไทย เป็น 2 สถานการณ์ ในกรณี Base case (โอกาส 60 %) GDP ไทยจะขยายตัว 1.4% ในขณะที่การส่งออกหดตัว -3.0% และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิคในช่วงครึ่งหลังปี ส่วนกรณี Best Case (โอกาส 40 %) หากการเจรจากับสหรัฐฯประสบความสำเร็จและสถานการณ์โลกดีขึ้น GDPไทยอาจขยายตัวได้ 1.7% และการหดตัวของการส่งออกจะลดลงเหลือเพียง-0.5% แทนที่จะเป็น -3.0% ประเทศไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้าและมาตรการภาษีสจากสหรัฐฯ การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคเกษตร การเมืองขาดเสถียรภาพ หนี้ครัวเรือนในระดับสูง และการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชน จากปัจจัยเหล่านี้ ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส2 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 2% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดโลกอยู่ 9% โดยเป้าหมายของ SET Index ในปี 2568 ยังคงอยู่ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมีปัจจัยบวกใหม่ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม หากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,100 จุด ถือเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ

ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศจะคลี่คลายลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากภายนอก ขณะเดียวกันก็จำกัดโอกาสด้านบวก (upside) ของตลาดโดยรวม ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ตลาดคาดหวังถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจช่วยพยุง sentiment ได้บ้าง แต่ปัจจัยสนับสนุนในประเทศที่ชัดเจนยังมีจำกัด โครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แม้จะต้องจับตาความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (oversold ) ซึ่งช่วยจำกัดDownside จากปัจจัยต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงถูกจำกัด จึงมองว่า การพื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างจริงจัง การขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ให้เห็นเป็นรูปธรรม และการฟื้นตัวของสภาพคล่องในระบบ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกการเคลื่อนไหวในกรอบแคบของตลาด (sideway) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้

หลังจากนั้น ต่อด้วยเสวนาในหัวข้อ “ Glabal Market Outlook & Solutions amidst Uncertainty ” ผู้เชี่ยวชาญจาก SCB WEALTH และ BlackRock ซึ่งประกอบด้วย นายรุ่งโรจน์ เสกสรรวิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection ธนาคารไทยพาณิชย์ นายนิคิล มัจรา Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์ก ฟัสชาร์ค Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock และ นายธณาพล อิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock ได้ร่วมกันวิเคราะห์มุมมองเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังคงเผชิญความเสี่ยงจากหลายปัจจัย โดย BlackRockประเมินว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จึงจำเป็นต้องติดตามปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด อาทิ อัตราภาษีนำเข้า ระดับการว่างงาน การบริโภคภาคเอกชน และแนวโน้มกำไรของภาคธุรกิจ เพื่อประเมินผลกระทบในเชิงโครงสร้างอย่างรอบด้าน

อย่างไรก็ตาม แม้การถือเงินสดอาจช่วยลดความเสี่ยงระยะสั้นในช่วงตลาดผันผวน แต่ในช่วงเวลาที่ตลาดฟื้นตัวอาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นแนวทาง Stay invested หรือการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยไม่พยายามจับจังหวะตลาด จึงเป็นกลยุทธ์ที่ BlackRock และ SCB WEALTHแนะนำให้กับลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งในระยะยาว ทั้งนี้ การกระจายพอร์ตลงทุนแบบดั้งเดิมที่เน้นลงทุนในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% อาจจะทำให้พอร์ตลงทุนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่เคย ปัจจุบันการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก กลายเป็นส่วนสำคัญในการสร้างพอร์ตที่สมดุล โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์แบบ Multi-Asset และ Liquid Alternatives ที่สามารถกระจายการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นในหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องจึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ในระยะยาว และยังช่วยป้องกันพอร์ตในช่วงตลาดขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อตลาดโลกมีความไม่แน่นอนสูง

นายรุ่งโรจน์ กล่าวเสริมว่า นับตั้งแต่ SCB WEALTH เป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุน SCB Global Multi- Asset Core Portfolio ( SCBGMCORE) เป็นกองทุนที่ BlackRock ออกแบบพอร์ตให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์โดยเฉพาะ กองทุน SCBGMCORE มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุน ETF ในสัดส่วน 75%กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ REITและTIPs ส่วนอีก 25% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงที่ใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต การบริหารกองทุนดำเนินการโดย BlackRock เป็นการบริหารแบบเชิงรุก พร้อมเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ช่วยรักษาสมดุลพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพในทุกสภาวะตลาด เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างมั่นคงในระยะยาว

คำเตือน

• การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

• กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SCB Global Multi-Asset Core Portfolio (SCBGMCORE(A)) ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง โปรดศึกษารายละเอียดข้อมูลกองทุนกับบลจ.ไทยพาณิชย์อีกครั้ง

• กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

• กองทุนรวม SCBGMCORE(A) นี้บริหารจัดการการลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่างประเทศโดย BlackRock ภายใต้สัญญาแต่งตั้งรับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุนเป็นไปตามที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนโดยบลจ.ไทยพาณิชย์

• ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

• กองทุนนี้ไม่เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ หรือต้องการรักษาเงินต้น ผู้ลงทุนโปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

• ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษาข้อมูลกองทุนหลัก และหนังสือชี้ชวนกองทุนที่ร่วมรายการเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม www.scbam.com

• สอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : SCB WEALTH เผย ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง กลุ่ม AI รับแรงสนับสนุนแข่งกับจีน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก AEC10NEWs

ปตท. ครองบริษัทชั้นนำอันดับ 1 ในไทยและอันดับ 2 ใน Southeast Asia ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กนง. มีมติคงดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.75% ท่ามกลางความเสี่ยงทั้งภายในและต่างประเทศ

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ศึกนอก-ศึกใน วิบากกรรม “แพทองธาร”

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความSMEs-การเกษตรอื่น ๆ

ผลิตทุเรียนภาคตะวันตก ปี 2568 รวม 4 จังหวัด เพิ่มขึ้น 34%

เดลินิวส์

เปิดบ้านเวิร์กช็อปด้านเทคโนโลยีรถตัดอ้อยในประเทศไทย

เดลินิวส์

สั่งเตรียมพร้อมรับมือภัยน้ำท่วมในพื้นที่เกษตร

เดลินิวส์

องุ่นบราซิล ผลไม้สุดแปลก กินลูกเดียว เหมือนกินผลไม้ 7 ชนิด

เทคโนโลยีชาวบ้าน

หนุนชุมชนผ้าทอมืออีสาน สร้างรายได้กว่า 3 แสนบาท

เดลินิวส์

อพท. นำผู้ประกอบการสินค้าสุขภาพ ออกงาน Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025

ชี้ช่องรวย

พังงาเปิดงาน “มหกรรมสินค้าเกษตรคุณภาพจังหวัดพังงา” พบสินค้าเกษตรที่หลากหลายจากกลุ่มเกษตรกร

77kaoded

เริ่มแล้ว! Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 ครบทั้งสินค้าบริการสุขภาพ คาดเงินสะพัด 120 ลบ.

ชี้ช่องรวย

ข่าวและบทความยอดนิยม

SCB WEALTH เผย ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง กลุ่ม AI รับแรงสนับสนุนแข่งกับจีน

AEC10NEWs

SCB WEALTH แนะจับตา 5 ปัจจัยเสี่ยงช่วงครึ่งหลังปี 67

AEC10NEWs

ไทยพาณิชย์ คาดเฟดลดดอกเบี้ยไตรมาส 3 ปีนี้

AEC10NEWs
ดูเพิ่ม
Loading...