โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ธปท.ชี้ภาษีทรัมป์ทุบจีดีพีไทยซึมยาว 1 ปีครึ่ง ส่งออกหดตัว 'ลงทุน-บริโภค' แผ่ว

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ธปท. เผยแรงส่งเศรษฐกิจไทยแผ่ว ผล Tariffs ฉุดเศรษฐกิจไทยโตต่ำ 2% ลากยาว 1 ปีครึ่ง คาดจีดีพีปี’69 เหลือ 1.7% ชี้ส่งออกครึ่งหลังปี’68 หดตัวรุนแรง กระทบการลงทุน-การบริโภคชะลอตัวตาม ย้ำจุดยืนนโยบายการเงินผ่อนคลาย มอง Policy Space สำคัญ หนุนเศรษฐกิจยืดหยุ่นทนทานรองรับช็อก

นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “Monetary Policy Forum 2/2568” ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากนโยบายภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐนั้น มองว่าจะมีนัยระยะยาวค่อนข้างมาก หากพิจารณามิติความรุนแรงและมิติระยะเวลา จะเห็นว่าช็อกจาก Tariffs แตกต่างกันกับช็อกในรอบการระบาดของโควิด-19 และวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ที่มีความรุนแรงระยะสั้น และเป็นหลุมดิ่งลง ทุกอย่างชะงักงัน แต่ช็อกครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที เพราะมีการพูดถึงการขึ้นภาษีมาสักระยะแล้ว แต่ช็อกนี้จะทอดยาวไปถึงปี 2569

เศรษฐกิจไทยโตต่ำศักยภาพ 2% ลากยาวปีครึ่ง

โดยภาพรวมเศรษฐกิจมองไปข้างหน้า ธปท.ประเมินเศรษฐกิจปี 2569 ขยายตัว 1.7% ถือว่าค่อนข้างต่ำ เป็นภาพเศรษฐกิจไม่ดีอยู่แล้ว และเป็นการเติบโตต่ำกว่า 2% ซึ่งเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ และจะโตต่ำไปอีก 1 ปีครึ่ง แม้ว่าในปี 2568 จีดีพีจะขยายตัว 2.3% จะเห็นว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มาจากตัวเลขจริงที่ออกมาจากแรงส่งภาคการส่งออกที่ออกมาขยายตัวค่อนข้างสูง 12.6% ทำให้การเติบโตเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.9-3%

อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปีจะเห็นการชะลอตัวค่อนข้างรุนแรง และมีความท้าทายค่อนข้างมาก จะมาจากภาคการส่งออกที่ลดลงรุนแรงในช่วงไตรมาสที่ 3/2568 เป็นต้นไป โดยคาดว่าการส่งออกครึ่งปีหลังจะหดตัว -4.0% และปี 2569 หดตัว -2.0% และจะกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวต่ำไม่ถึง 1% และส่งผลต่อเนื่องไปยังการบริโภคที่ชะลอตัวลงเหลือ 1.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ขยายตัว 3%

ย้ำพื้นที่นโยบายการเงินเป็นสิ่งสำคัญรองรับช็อก

ทั้งนี้ มองไปข้างหน้าสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจจะเกิดช็อกได้ ดังนั้น จุดยืนนโยบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่เหมาะสม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง สามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง แต่มองไปข้างหน้า ธปท.พร้อมจะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งพื้นที่การทำนโยบาย (Policy Space) เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นและทนทาน (Resilience) สามารถรองรับช็อกที่จะเกิดขึ้นยาวนานได้

“การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เรามีประเมินฉากทัศน์หลากหลายมาก ซึ่งตัวเลข Tariffs จะออกมาเท่าไรไม่สำคัญมาก หรือเศรษฐกิจไตรมาสจะขยายตัว -0.1% หรือ +0.1% เท่ากับทิศทางเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเรามองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังไม่ดี และแผ่วลง

ซึ่งจีดีพีปี’69 เรามองที่ 1.7% ชะลอลงพอสมควร และขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ เพราะมีช็อกที่ทอดยาวเข้ามากระทบ เราไม่ตกเหวปีนี้ แต่ตกปีหน้า ดังนั้น การลดดอกเบี้ยอาจจะช่วยลดภาระหนี้ได้บ้าง แต่ไม่ได้เกิดการขอสินเชื่อใหม่ เพราะอุปสงค์ลดลง จึงต้องชั่งน้ำหนัก เพราะพื้นที่การทำนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเศรษฐกิจเข้าสู่ช็อกที่มีเยอะขึ้น การทำให้เศรษฐกิจมีความทนทานและยืดหยุ่นน่าจะดีกว่า”

เศรษฐกิจไทยไม่เกิด “ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค”

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ผลกระทบจาก Reciprocal Tariffs ต่อตลาดการเงินโลกและตลาดเงินไทยจากการติดตามาไม่ได้มีผลกระทบ แต่เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม โดยปัจจุบันยังเห็นเศรษฐกิจไปได้ ไม่ได้สะดุดตามตัวเลขจริงที่ออกมา แต่มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจมีความท้าทาย เพราะ Tariffs มีผลทอดยาวกระทบต่อการส่งออก การลงทุน และการบริโภค ซึ่งสถานการณ์จะทอดยาวไปถึงปี 2569

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีโอกาสค่อนข้างน้อยที่จะเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจากตัวเลขจะต้องติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาไทยเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิคเพียง 4 ครั้งเท่านั้น

ได้แก่ วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตการเงินโลก การชุมนุมใหญ่ที่มีการปิดสนามบิน และโควิด-19 ซึ่งการเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิคจะต้องการแรงกระแทกรุนแรงจากภายนอกประเทศ หรือในประเทศจะต้องเกิดเหตุการณ์รุนแรงมาก ซึ่งในปี 2568 และปี 2569 มองอัตราการเติบเฉลี่ยไตรมาสต่อไตรมาส (QOQ) ขยายตัว 0.1% ถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตปกติที่อยู่ 0.7-0.8%

รับประเด็นการเมืองเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม

ส่วนประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมือง เป็นประเด็นที่ ธปท.ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะที่ผ่านมาปัจจัยทางการเมืองจะมีผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จึงเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ต้องติดตาม

“แรงกระแทก Tariffs ไม่กระทบรุนแรง และตกแรง ๆ เหมือนวิกฤตโควิด-19 แต่แรงกระแทกนี้จะทอดยาวไปยังเซ็กเตอร์ส่งออกไปสหรัฐ และผลจะทอดยาวไป เราจะไม่เห็นช็อกแบบสั้น ๆ ซึ่งเราได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการ 700-800 ราย พบว่าอุปสรรคการทำธุรกิจคือต้นทุน ความสามารถในการแข่งขัน และความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ เขาจะชะลอลงทุน

โดยที่ผ่านมา ธปท.ร่วมกับสภาพัฒน์ ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลบอกถึงผลกระทบจาก Tariffs และมาตรการรองรับระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะผลกระทบรายเล็ก การจ้างงาน จากปัญหาสินค้านำเข้า การทุ่มตลาดเป็นต้น”

หลังแรงส่งเศรษฐกิจแผ่วยาวถึงปี’69

นางสาวบัณณรี ปัณณราช ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 2568 พบว่าองค์ประกอบเศรษฐกิจหลายด้าน การผลิต การส่งออก การบริโภคในไตรมาสที่ 2/2568 ยังมีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2568 จึงเป็นแรงส่งเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปีนี้ แต่มองไปข้างหน้า แรงส่งบางส่วนที่มีการเร่งไปก่อนหน้าจะปรับลดลง ทำให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2568 ขยายตัวเพียง 1.6% จากครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 2.9% และในปี 2569 เติบโตเพียง 1.7% จากปี 2568 ขยายตัว 2.3%

“การเติบโตจะเห็นว่าต่ำกว่า 2% เป็นระยะเวลา 1 ปีครึ่ง ผลมาจากการส่งออกที่หดตัวรุนแรง และผลจาก Tariffs ที่จะต้องติดตามเป็นระยะ ๆ รวมถึงพัฒนาการการเจรจาการค้าที่จะเข้ามากระทบ”

ยันเงินเฟ้อต่ำ แต่ไม่ใช่เงินฝืด

นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อต่ำมาจากหมวดราคาพลังงานและอาหารสด ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าอื่นลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนจากราคาสินค้าที่ประชาชนบริโภคเป็นประจำยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง

โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 อยู่ที่ 0.5% และปี 2569 อยู่ที่ 0.8% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2568 อยู่ที่ 1.0% และปี 2569 อยู่ที่ 0.9% ซึ่งหากดูอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานในปี 2568 อยู่ที่ -3.2% และปี 2569 อยู่ที่ -1.3% จากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% และอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดปี 2568 อยู่ที่ 1.2% และปี 2569 อยู่ที่ 1.6% จากค่าเฉลี่ย 1.7% ทั้งนี้ จากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว และราคาสินค้าที่ยังสูงต่อเนื่อง ไม่สะท้อน “ภาวะเงินฝืด”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ธปท.ชี้ภาษีทรัมป์ทุบจีดีพีไทยซึมยาว 1 ปีครึ่ง ส่งออกหดตัว ‘ลงทุน-บริโภค’ แผ่ว

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ประชาชาติธุรกิจ

กรมอุตุนิยมวิทยา 7 วันข้างหน้า เตือนรับมือฝนตกหนักอีกช่วง 10-12 ก.ค.นี้

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ส่อง 3 แบรนด์กรองน้ำดื่ม Subscription ในไทย พร้อมออฟชั่นแต่ละแบรนด์

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นิสสัน เสริมทัพ ‘นาวารา’ 3 รุ่นย่อย กระตุ้นยอดปิกอัพ เคาะราคาเริ่มต้น 7.58 แสนบาท

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ไอเดีย ทักษิณ เปิดอบรม Virtual Training แลก Token ใช้ AI ฟรี

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

“กรณ์” หวั่นภาษีสูงกว่าเพื่อนบ้าน ทำ “เงินลงทุนทางตรง” (FDI) หาย ส่วน “ต่างชาติในตลาดหุ้น” เชื่อไม่กระทบ เหตุขายไปมากแล้ว...แนะอาจต้องยอม “ลดภาษีให้สหรัฐ” เหลือ 0% เท่าเวียดนาม เพื่อแลกดีลนี้

Wealthy Thai

‘มันนิกซ์’มุ่งเติบโตคุณภาพ ดัน‘สินเชื่อนาโน’5.7หมื่นล้าน

กรุงเทพธุรกิจ

EA เลื่อนประชุมหุ้นกู้ รอบ 3 แล้ว 16 ก.ค.นี้ ซ้ำรอยองค์ประชุมไม่ครบ

กรุงเทพธุรกิจ

GULF ลงทุนพลังงานลม4.2 หมื่นล้าน รวม 16 โครงการกำลังผลิต 1.1พันเมกะวัตต์

กรุงเทพธุรกิจ

Money Expo 2025 Hatyai เงินสะพัดกว่า 6.9 พันล้านบาท SME ยื่นขอกู้วงเงินรวมกว่า 650 ลบ.

The Better

ยูโอบี เปิดตัวโครงการบริหารสภาพคล่องเพื่อความยั่งยืน โดยมี ปตท. เข้าร่วมเป็นรายแรกครั้งแรกในประเทศไทยกับการใช้ SET ESG Ratings เป็นตัวชี้วัดหลัก

BTimes

ค่าเงินบาท ปิดวันนี้ 9 ก.ค. ที่ 32.69 บาท อ่อนค่าสุดในภูมิภาค-กังวลภาษีทรัมป์

The Bangkok Insight

ETF ทองคำ คึก! เงินไหลเข้าแตะ 38,000 ล้านดอลลาร์ ครึ่งปีแรกแรงสุดรอบ 5 ปี

ฮั่วเซ่งเฮง

ข่าวและบทความยอดนิยม

Edge-AI โอกาสอาเซียน คลื่นเทคโนโลยีใหม่ ทำไม ‘เวียดนาม’ เข้าวิน

ประชาชาติธุรกิจ

ราคาทองวันนี้ (9 ก.ค. 68) ร่วงลง 250 บาท รูปพรรณขายออก 51,750 บาท

ประชาชาติธุรกิจ

ธปท.ชี้ภาษีทรัมป์ทุบจีดีพีไทยซึมยาว 1 ปีครึ่ง ส่งออกหดตัว 'ลงทุน-บริโภค' แผ่ว

ประชาชาติธุรกิจ
ดูเพิ่ม
Loading...