ภาษี 36%กับเหตุปะทะชายแดน เศรษฐกิจไทยบนเส้นด้ายของภูมิรัฐศาสตร์
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับทางแยกที่สำคัญ เมื่อเงื่อนไขภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศจะจัดเก็บจากไทยสูงถึง 36% และกำลังจะมีผลบังคับในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ถูกนำไปผูกรวมกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แม้จะผ่านเส้นตายหยุดยิงไปแล้ว แต่สถานการณ์ก็ยังไม่สงบ มีการละเมิดข้อตกลงจากฝั่งกัมพูชาเป็นระยะๆ
หากไม่สามารถยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดนได้อย่างเป็นรูปธรรม ภาษี 36% จะกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ยกระดับความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในระดับมหภาค และอาจกลายเป็นบทเรียนราคาแพงของการมองข้ามภูมิรัฐศาสตร์ในการบริหารเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ในโลกปัจจุบัน เศรษฐกิจไม่ได้เดินอยู่ลำพัง แต่เดินไปพร้อมกับการเมือง การทูต และความมั่นคงอย่างแนบแน่น ใครที่มองเห็นและวางแผนบนฐานความจริงนี้เท่านั้น ที่จะนำพาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤตซ้อนวิกฤตได้อย่างแท้จริง
เมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มแสดงสัญญาณฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 และภาวะชะลอตัวของการค้าโลกในช่วงต้นปี 2568 สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นในเดือนกรกฎาคม ได้พลิกกระแสความหวังสู่ความไม่แน่นอนอีกครั้ง
พร้อมๆ กับคำประกาศจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่เตรียมจัดเก็บภาษีศุลกากร 36% กับสินค้าจากประเทศไทย หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชาได้ ภายในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
การเมืองระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงกับการค้ากำลังกลายเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประเทศไทยกำลังยืนอยู่ ณ จุดตัดของความเสี่ยงนี้โดยตรง แม้ในทางเทคนิคภาษีตอบโต้ จะถูกอธิบายว่า เพื่อสร้างสมดุลทางการค้า แต่ในทางปฏิบัติ กลไกนี้กำลังทำหน้าที่แทนแรงบีบทางการทูตที่ผูกโยงเศรษฐกิจเข้ากับเสถียรภาพความมั่นคงในภูมิภาค
สำหรับประเทศไทย การจะถูกจัดเก็บภาษีในระดับดังกล่าว ถือเป็นวิกฤตเชิงโครงสร้าง เพราะสหรัฐฯ คือคู่ค้ารายใหญ่อันดับหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วนราว 18-20% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น จะกระทบทั้งระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นลูกโซ่
ในระดับมหภาค ผลกระทบจากการจัดเก็บภาษี 36% โดยสหรัฐฯ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคการส่งออก หากแต่จะส่งผลต่อเนื่องไปยังการผลิต การจ้างงาน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม ซึ่งสมมุติฐานเบื้องต้นจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและเอกชนหลายแห่ง ระบุว่าภาษีดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นทันทีในอัตรา 30-40%
โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาตลาดอเมริกาเป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อาหารแปรรูป เสื้อผ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท
ผลที่ตามมาคือคำสั่งซื้อลดลง การผลิตชะลอตัว และการเลิกจ้างที่อาจเกิดขึ้นในบางกลุ่มธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ประชาชนและการบริโภคภายในประเทศในระยะต่อมา
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเคยมองไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตที่เชื่อมต่อทั้งตลาดจีน อาเซียน และสหรัฐฯ อาจหันไปพิจารณาประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพทางการค้าสูงกว่า เช่น เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย ซึ่งสามารถเจรจาลดภาษีจากสหรัฐฯ ได้แล้วในช่วงที่ผ่านมา
รัฐบาลไทยพยายามเจรจากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกระทรวงการคลังได้นำเสนอข้อเสนอ “ยกเว้นภาษีนำเข้าบางรายการ” และเปิดช่องให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น เพื่อชดเชยดุลการค้า
แผนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดระดับความขัดแย้งทางการค้า และหวังให้สหรัฐฯ ยอมผ่อนปรนการเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเหล่านี้ยังไม่มีผลในทางปฏิบัติจนกว่าจะมีความคืบหน้าในด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการหยุดยิงกับกัมพูชา
นั่นหมายความว่า “การเมืองระหว่างประเทศ” กำลังมีอิทธิพลเหนือนโยบาย “เศรษฐกิจระหว่างประเทศ” อย่างเห็นได้ชัด และนโยบายเศรษฐกิจของไทย จึงไม่อาจแยกขาดจากมิติความมั่นคงอีกต่อไป
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,118 วันที่ 31 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568