“วิศวกรรมการบิน” ไขรหัส พา“การบินไทย” สู่ศูนย์กลางการบินโลก
อ.ดร.นวทัศน์ ก้องสมุทร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรม การบินและอวกาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมการบินไทย โดยเฉพาะกลุ่มการขนส่งทางอากาศทยอยปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่เทียบเท่าปี 2562 หรือช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเที่ยวบินระหว่างประเทศฟื้นตัวได้ดีกว่าเที่ยวบินภายในประเทศ สาเหตุหลักมาจากซัพพลายที่หดตัวลง และต้นทุนเที่ยวบินภายในประเทศที่สูงขึ้นจากการเก็บภาษีน้ำมันของรัฐบาล
ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมการบินไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากหลายด้าน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนปรับเปลี่ยนเป้าหมายการท่องเที่ยวจนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และปัจจัยมหภาค ซึ่งหากเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจและเกิดสงคราม อาจส่งกระทบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตามหากปัจจัยต่างๆ คลี่คลายลง คาดว่าภายในปี 2569 นักท่องเที่ยวจะเริ่มทยอยกลับมา ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบินของไทยโดยรวมปรับตัวดีขึ้น โดยประเมินอุตสาหกรรมการบินไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จะเติบโตเฉลี่ย 3.5-5% ต่อปี และอีก15 ปีข้างหน้า คาดเติบโตเพิ่มขึ้น กว่า 80-90% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน
กุญแจสำคัญของอุตสาหกรรมการบินของไทย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การพัฒนาบุคลากรยังคงเป็นกุญแจสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนด้านการพัฒนาบุคลากรในทุกอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง ต้องมีแผนบริหารจัดการกำลังคนในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน โดยการพัฒนาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพไม่ได้จำกัดอยู่แค่การมีความรู้ (Knowledge) ในระดับที่รู้ว่าต้องทำอย่างไร (Know How)เท่านั้น แต่ยังต้องมีความรู้และความเข้าใจเชิงลึกด้วยว่า “ทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น” (Know why) สามารถอธิบายถึงเหตุผลในสิ่งที่ตนเองสงสัยได้ แก้ปัญหาอละพัฒนาได้ เพื่อให้สามารถปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที
นอกจากการพัฒนาคนแล้ว การยกระดับเทคโนโลยี ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เทคโนโลยีที่ทันสมัยจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการสนามบินที่ทันสมัย การเช็คอินที่รวดเร็ว ระบบจัดการสัมภาระของผู้โดยสารที่ต่อเครื่อง หรือระบบความปลอดภัยที่เข้มงวด ฯลฯ การดำเนินการเหล่านี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมการบินของไทยสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ และยังช่วยผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง
“ประเทศไทยมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่มากมาย โดยเฉพาะในภาคงานวิจัย หลายครั้งที่ผลงานวิจัยของไทยได้รับรางวัล แต่ไม่ได้ถูกนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์หรือนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสังคมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทุกอุตสาหกรรมล้วนมีความสำคัญและจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การนำองค์ความรู้จากงานวิจัยมาประยุกต์ใช้คือหัวใจสำคัญ ตัวอย่างเช่น ภาคส่วนด้านสนามบิน หากมีแผนขยายสนามบินให้ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการก่อสร้างเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ว่ามีพื้นที่ว่างสามารถนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์หรือไม่ ทำให้เกิดการไหลเวียนของผู้โดยสารได้ราบรื่น ไม่ติดขัดหรือไม่ ออกแบบและสร้างพื้นที่เพื่อประสบการร์ที่ดีของผู้โดยสารและผู้ใช้งานสนามบินที่หลากหลายอย่างลงตัว และภาครัฐฯมีนโยบายอะไรรองรับการพัฒนานี้ รวมถึงการจัดทำแผนพัฒนาในแต่ละส่วนงาน (Sector) อย่างชัดเจนหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างตรงจุดและยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับประเทศชาติได้” อ.ดร.นวทัศน์ กล่าว
โมเดลธุรกิจที่ไทยยังขาดหาย
อุตสาหกรรมการบินของไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต ปริมาณการจราจรทางอากาศ (Traffic) ของประเทศไทยเคยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีโมเดลธุรกิจ (Business Model) ที่น่าสนใจและยังขาดหายไปอยู่ 2 ประเภท ดังนี้
1) Feeder Airline : เส้นเลือดฝอยเชื่อมเมืองรอง หรือ สายการบินขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เสมือน "เส้นเลือดฝอย" พวกเขาให้บริการเชื่อมต่อผู้โดยสารจากเมืองเล็กๆ ที่มีความต้องการเดินทางไม่มากนัก ให้เข้าถึงสนามบินหลักที่เป็นศูนย์กลาง และทำให้สายการบินหลักสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นในเส้นทางบินระยะไกล ซึ่งจะมีสายการบินประเภทนี้ได้ ภาครัฐต้องมีระบบอุดหนุนเส้นทางย่อยเพื่อลดภาระค่าโดยสาร และสร้างเครื่อข่ายการบินที่แข็งแรงและยั่งยืน
2) Medium to Long Haul Low Cost Carrier : พันธมิตรสุดแข็งแกร่ง ที่เป็นสายการบินต้นทุนต่ำให้บริการเที่ยวบินระยะกลางถึงระยะไกลขนานกันไปกับสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่เน้นการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิด อาจรวมถึงการที่พันธมิตรรูปแบบที่เข้ามาถือหุ้นและดำเนินธุรกิจร่วมกัน (Equity Partner) โดยโมเดลนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศอย่างออสเตรเลีย(Qantas+Jetstar) และสิงคโปร์(Singapore Airlines+Scoot)
พร้อมประเมินอุตสาหกรรมการบินไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีเครื่องบินสัญชาติไทยมากถึง 500 ลำ ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตัวของทั้ง "ระบบนิเวศ (Ecosystem)" การเติบโตนี้จะไม่เพียงส่งผลต่อเศรษฐกิจในเชิงมหภาค แต่ยังหมายถึง ความต้องการกำลังคนคุณภาพจากหลากหลายสายอาชีพในอุตสาหกรรมการบินและก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่นักบิน วิศวกรซ่อมบำรุง เจ้าหน้าที่ควบคุมการบิน ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและระบบอัจฉริยะที่ช่วยบริหารจัดการสนามบินและสายการบินแบบครบวงจร ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาระบบการศึกษาและการฝึกอบรมที่สอดรับกับเทคโนโลยีและมาตรฐานสากล เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความสามารถแข่งขันระดับโลก พร้อมวางเส้นทางและโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพที่ชัดเจนและมั่นคงในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่สร้างรายได้และโอกาสให้กับคนไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต