ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ 32.79 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.69 บาทต่อดอลลาร์
1 ส.ค. 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.69 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง เข้าใกล้ขอบบนของโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.66-32.79 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 2.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย (ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.8% สูงกว่าที่ตลาดคาดเช่นกัน)
อีกทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ยังออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 30% จากเดิมที่ประเมินไว้ราว 40%-45% ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว
นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หลังการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่าลงบ้าง ตอบรับข่าวทางการสหรัฐฯ ปรับอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าจากไทยเป็น 19% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในช่วง 20%-25% และดีกว่าที่ทางการสหรัฐฯ ได้ขู่ไว้ที่ระดับ 36% หากไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ พร้อมกดดันให้ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง (หรืออย่างน้อยแกว่งตัว Sideways)
อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังสหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยในระดับ 19% ซึ่งถือว่า ดีกว่าที่ตลาดคาด 20%-25% บ้าง (แม้จะแย่กว่าสมมติฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 18% เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ)
ทั้งนี้ เรามองว่า แม้ไทยจะเผชิญอัตราภาษีนำเข้าในระดับที่ไม่ได้สูงอย่างที่ตลาดเคยกังวล แต่เรามองว่า ควรจับตาการปรับสถานะถือครองของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ว่าจะมีการ Sell on Fact และขายทำกำไร สินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย และบอนด์ไทย บ้างหรือไม่ ซึ่งหากมีการทยอยขายทำกำไรการถือครองสินทรัพย์ไทยออกมาบ้างในช่วงนี้ ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง
อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ โดยเฉพาะ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวน ในกรอบ +/- 1 SD ได้ถึง +0.60%/-0.30%
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เราพบว่า ผู้เล่นในตลาดดูจะตอบรับกับรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากพอสมควร ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์นั้นทะลุกรอบ +/- 1 SD ได้ไม่ยาก อย่างเช่นในสัปดาห์นี้ เงินบาทอ่อนค่าลงแรงเกินกรอบ +1 SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP
อย่างไรก็ตาม เราคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไปพอสมควร ว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ควรสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สดใสอยู่ ทำให้ หากตลาดผิดหวังกับรายงานข้อมูลดังกล่าว ก็อาจทำให้เกิดการ Repricing หรือปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่อีกครั้ง กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง ทำให้เงินบาทยังคงมีความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมจะเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอยู่
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ต่อบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Apple และ Amazon
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มเฟดยังคงไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และแรงขายหุ้นบริษัทยา หลังทางการสหรัฐฯ ได้เร่งรัดให้บริษัทยารายใหญ่ ปรับลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.37%
ตลาดหุ้นยุโรป
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงกว่า -0.75% ตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ ที่ออกมาน่าผิดหวัง อาทิ Sanofi -7.8% นอกจากนี้ บรรดาหุ้นบริษัทยายุโรป ก็เผชิญแรงกดดันตามการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มยาสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
ตลาดบอนด์
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.37% สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด
รวมถึงรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาดีกว่าคาด เรายังคงประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ หลังตลาดรับรู้แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)
ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50% สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)
ตลาดค่าเงิน
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Up หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด (อัตราเงินเฟ้อ PCE สูงกว่าคาด) ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงอาศัยจังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ในการขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 100 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.7-100.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงกลับสู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) รวมถึง อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings)
นอกจากนี้ ในช่วง 21.00 น. ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบจากนโยบายการค้าต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรม ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดย ISM ในเดือนกรกฎาคม
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีโอกาสเพียง 50% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้
ทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต (Caixin Manufacturing PMI) ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ส่วนในฝั่งไทย จะมีรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ในเดือนกรกฎาคม
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน