กลุ่มรวมพลังแผ่นดินดีใจหลัง ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี
วันนี้ (1 ก.ค.68) นายแก้วสรร อติโพธิ หนึ่งในแกนนำกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” แถลงจุดยืนภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เซ่นปมคลิปเสียงพูดคุยสมเด็จฯ ฮุน เซน ว่า กลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ดีใจมากที่ศาลทำงานตามกฎหมาย ส่วนการไต่สวนของศาล กลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” จะไม่ขอล่วงละเมิดอำนาจศาล และตอนนี้จะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกดดัน หรือดีใจโห่ร้อง เพราะจะเป็นการแทรกแซงอำนาจศาล ซึ่งอาจทำให้เข้าทางกลุ่มที่รอจะใส่ร้ายกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน”
นายจตุพร พรหมพันธุ์ บอกว่า เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ที่ตั้งเวทีอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถือเป็นทัพหน้าติดทำเนียบรัฐบาล มีการเคลื่อนไหวไปเรียกร้องพรรคต่าง ๆ และคอยประคับประคองสถานการณ์กว่า กลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” จะได้รวมตัวกัน ดังนั้นระหว่างนี้ประชาชนสามารถไปร่วมชุมนุมกับ คปท. ได้ทุกวัน ขอให้ประชาชนช่วยรักษาเวทีด่านหน้าไว้ต่อไป ส่วนหลังจากนี้อาจจะมีเวทีปราศรัยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เวทีต่างจังหวัดอาจเลือกจังหวัดที่มีความพร้อม สามารถรวบรวมประชาชนได้ ก็จะจัดทัพใหญ่ไป หรือในสถานการณ์ที่ฉับพลัน แกนนำก็จะมีการปรึกษากันว่าจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไร และแถลงข่าวให้ทราบเป็นระยะ ๆ แต่เบื้องต้นประมาณการณ์ชุมนุมใหญ่อีกครั้งช่วงกลางเดือนสิงหาคม
ส่วนที่วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำหน้าที่แล้วนั้น ยังเหลือ ป.ป.ช.ที่ไต่สวนเรื่องมาตรา 144 ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติชัดเจนว่าต้องพิจารณาโดยพลัน แต่ตอนนี้เกือบ 60 วันแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นพรุ่งนี้จะนำคณะมวลชนไปติดตามความเคลื่อนไหวที่ ป.ป.ช. ต่อไป เพราะความจริงหน้าที่ ป.ป.ช. จบแล้ว มีหน้าที่เพียงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ใช้เวลาแค่ 15 วันหลังรับเรื่อง ดำเนินการกับบุคคล 3 ส่วน คือ คณะรัฐมนตรี , สส. และกรรมาธิการ , และวุฒิสภา โดยมีโทษ 3 โทษ คือให้พ้นจากตำแหน่ง จะต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ต้องชดใช้วงเงิน 35,000 ล้านบาทภายใน 20 ปี
ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้รับมอบอำนาจจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้มาตอกย้ำว่าจุดยืนของกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและพรรคร่วมรัฐบาลลาออก เป็นสิ่งที่นายสนธิสนับสนุน นายสนธิไม่ได้สนับสนุนรัฐประหาร ส่วนยอดรับบริจาคถึงวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา มียอดบริจาคทั้งหมดกว่า 30.7 ล้านบาท มีผู้บริจาคกว่า 56,000 คน โดยหักค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมรณรงค์ และการชุมนุมต่างๆ ประมาณ 2 ล้านบาท และเหลือเงินสำหรับความมั่นคงของประเทศที่จะมอบให้หน่วยงานต่างๆ กว่า 28.6 ล้านบาท โดยจะมอบให้กองทัพภาคที่ 1 จำนวน 1.1 ล้านบาทตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค
ส่วนที่จะมอบให้กองทัพภาคที่ 2 เนื่องจากทางกองทัพแถลงข่าวไม่ขอรับเป็นเงินสด ดังนั้นเงินที่เหลืออีก 27.5 ล้านบาท จะถูกนำไปจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับลาดตระเวนป่าไม้ในเวลากลางคืน , สาธาณูปโภคเพื่อความปลอดภัยของทหารต่างๆ เช่น ห้องน้ำสำเร็จรูป ถังน้ำ ตู้คอนเทนเนอร์ แผ่นพื้นคอนกรีต รถตักหน้า รถไถ รถขุด เครื่องปั่นไฟ แบตเตอรี่ โซล่าเซลล์ รวมไปถึงเสื้อผ้าและอาหาร มอบให้กองทัพภาคที่ 2 แทน และยังมีผู้บริจาคมอบเงินส่วนตัวอีก 1 ล้านบาทต่างหากให้กองทัพเรือด้วย เนื่องจากต้องดูแลพื้นที่เกาะกูด