ทนายรณณรงค์ จี้สอบเส้นเงิน “วัดพระบาทน้ำพุ” – “หนึ่ง บางปู” แฉถูกชวนทำแอพรับบริจาค
ทนายรณณรงค์ จี้สอบเส้นเงิน “วัดพระบาทน้ำพุ” – “หนึ่ง บางปู” แฉถูกชวนทำแอพรับบริจาค
เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 25 ส.ค.68 ที่ริมทางเท้าหน้าตลาดนัดรถไฟ แดนเนรมิต กรุงเทพฯ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความชื่อดัง ได้นำ นางสาววรัชญากรณ์ อ่อนธรรม หรือที่รู้จักในวงการบันเทิงในชื่อ “หนึ่ง บางปู” ผู้เสียหายที่เคยบริจาคเงินให้วัดพระบาทน้ำพุไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อให้ดำเนินคดีกับพระอลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ
น.ส.วรัชญากรณ์ เปิดเผยว่า ตนรู้จักหลวงพ่ออลงกตผ่านสื่อมวลชนตั้งแต่ราว 10 ปีก่อน โดยภาพของพระสงฆ์อุ้มเด็กติดเชื้อ HIV ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาและตั้งใจจะร่วมทำบุญช่วยเหลือผู้ป่วยในความดูแลของวัดดังกล่าว
ครั้งแรกที่ได้ถวายเงินทำบุญคือจำนวน 1 ล้านบาท ก่อนจะร่วมทำบุญอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละครั้งเป็นเงินสดตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาท สูงสุดเคยถวายถึง 2 ล้านบาท แม้ไม่ได้ขอใบอนุโมทนาบัตร แต่ก็ถือเป็นการทำบุญโดยสุจริตใจ
“ทุกครั้งที่ถวายเงินสด ไม่เคยเรียกร้องเอกสารยืนยัน แต่ก็มีบางครั้งที่วัดออกให้บ้าง ไม่ออกให้บ้าง ดิฉันถือว่าทำด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง” น.ส.วรัชญากรณ์ กล่าว
น.ส.วรัชญากรณ์ เล่าว่า หลังจากทำบุญติดต่อกันหลายครั้ง หลวงพ่อได้ชักชวนให้เธอทำหน้าที่เป็น “แบรนด์แอมบาสเดอร์” ของวัด เนื่องจากมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง โดยให้เป็นตัวอย่างบุคคลผู้ทำความดี พร้อมทั้งช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ส่วนตัวเพื่อเชิญชวนแฟนคลับร่วมทำบุญ
“ดิฉันยอมรับว่า มีผู้ศรัทธาตามเข้ามาร่วมทำบุญกับวัดจำนวนมาก เพราะเชื่อมั่นในภาพลักษณ์และคำพูดของหลวงพ่อ” น.ส.วรัชญากรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังเคยสอบถามถึงค่าใช้จ่ายของวัด โดยได้รับคำตอบว่าต้องใช้เงินเดือนละประมาณ 6 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ป่วยและค่าใช้จ่ายภายใน แต่รายรับจริงมีเพียงราว 2 ล้านบาท บางเดือนก็ไม่ถึง ส่งผลให้วัดมีหนี้สินกับธนาคาร
สิ่งที่ทำให้เธอเริ่มสงสัยคือการโอนเงินเข้าบัญชีวัดซึ่งมักใช้ชื่อมูลนิธิ แต่กลับมีการต่อท้ายชื่อบุคคลอื่นประกอบอยู่ด้วย ทำให้รู้สึกไม่สบายใจแม้ในตอนนั้นยังไม่กล้าพูดอะไร
ต่อมาในปี 2564 หลวงพ่อได้จ้างพัฒนาแอพพลิเคชันขึ้นในราคา 1 ล้านบาท โดยชักชวนเธอเข้าร่วมประชุมเพื่อช่วยทำการตลาด แอพดังกล่าวมีการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน “มูลนิธิใจฟ้าประชานาถ” และ “มูลนิธินาถะ” อีกทั้งยังมีระบบเปิดรับบริจาคเงินออนไลน์ได้โดยตรง
“หลวงพ่อบอกว่าแอพพร้อมใช้งานแล้ว 99% แต่ดิฉันมีปัญหาครอบครัวเลยถอยออกมา หลังจากนั้นก็ไม่ทราบว่าโครงการดำเนินต่อหรือไม่ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นการทำธุรกิจเพื่อกำไร ไม่ใช่การทำบุญอย่างที่ประชาชนศรัทธา” น.ส.วรัชญากรณ์ กล่าว
น.ส.วรัชญากรณ์ เปิดใจอีกว่า ที่ผ่านมาเลือกที่จะเงียบเพราะยังคงรักและศรัทธาเหมือนเป็นพ่อ แต่เมื่อมีข่าวปรากฏออกมาในสังคม จึงตัดสินใจออกมาให้ข้อมูลเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา
“วันนี้เชื่อว่าหลวงพ่อที่เห็นไม่ใช่อลงกตองค์เดิมที่เคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว” เธอกล่าวทั้งน้ำตา พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของคนใกล้ชิดวัด รวมถึงโครงการ “แชร์ 9 บาท ส่งต่อบุญ” ที่เธอเคยช่วยดำเนินการร่วมกับวัด หลวงพ่อเคยบอกว่าได้เงินจากโครงการนี้ประมาณ 2 ล้านบาท แต่ดิฉันมั่นใจว่าได้มากกว่านั้นแน่นอน
ด้านนายรณณรงค์ (ทนายความ) เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ได้รับขณะนี้ พบว่าพฤติการณ์อาจเข้าข่ายความผิดเบื้องต้น 4 ข้อหา ได้แก่
1. ความผิดตามมาตรา 157 กรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหลังพบการโอนเงินผิดปกติ
2. การให้ข้อมูลเท็จกับเจ้าหน้าที่รัฐ ในกรณีใช้ข้อมูลไม่ตรงกับบัตรประชาชนระบุในใบสุทธิอุปสมบท
3. ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบเพื่อเปิดบัญชีรับเงินบริจาคออนไลน์
4. หากพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้ใบสุทธิปลอมจริง จะเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน
“คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นการคุ้มครองศรัทธาของประชาชนในพระพุทธศาสนา และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหาผลประโยชน์โดยอ้างศาสนาอีกต่อไป” นายรณณรงค์ กล่าวทิ้งท้าย