กบน. ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดีเซล 50 สต. คาดสิ้นปี 2568 เงินกองทุนฯ จะพลิกเป็นบวกได้
กบน. มีมติปรับลดเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลง 50 สตางค์ต่อลิตร โดยจัดเก็บอยู่ 1.40 บาทต่อลิตร หลังราคาน้ำมันโลกปรับขึ้นเล็กน้อย พร้อมเผยกองทุนฯ มีรายรับเข้าเดือนละประมาณ 6,000 ล้านบาท คาดสิ้นปี 2568 เงินกองทุนฯ จะพลิกเป็นบวกได้จากปัจจุบันติดลบลดลงเหลือ -24,355 ล้านบาท
วันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติปรับลดการเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง 50 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมเรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซล และดีเซล B20 อยู่ 1.90 บาทต่อลิตร ได้ปรับลดเหลือ 1.40 บาทต่อลิตร ส่วนผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียม เดิมเก็บอยู่ 3.40 บาทต่อลิตร เหลือ 2.90 บาทต่อลิตร หลังราคาน้ำมันโลกขยับขึ้นเล็กน้อย
ส่วนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ยังเรียกเก็บเงินเพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เท่าเดิม โดยผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ถูกเรียกเก็บ 3 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 1.90 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 3.60 บาทต่อลิตร และเบนซินธรรมดา ออกเทน 95 เรียกเก็บ 9.60 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ส่งผลให้กองทุนฯ มีรายรับรวม 208.07 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 6,242 ล้านบาทต่อเดือน) ซึ่งมาจากการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดได้ 181.65 ล้านบาทต่อวัน และมาจากผู้ประกอบการโรงแยกก๊าซ 26.42 ล้านบาทต่อวัน
โดยภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดที่รายงานโดยสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ณ วันที่ 24 ส.ค. 2568 กองทุนฯ ติดลบเหลือ -24,355 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากบัญชี LPG ติดลบรวมถึง -43,104 ล้านบาท ขณะที่บัญชีน้ำมันมีรายรับเป็นบวกอยู่ 18,749 ล้านบาท
สำหรับหนี้เงินกู้สถาบันการเงินที่กองทุนฯ กู้ไว้รวม 105,333 ล้านบาท ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันเหลือหนี้อยู่ 52,360 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยจ่ายคืนหนี้เงินต้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามกรอบเวลาที่กู้มาแต่ละครั้ง โดยในเดือน ต.ค. 2568 นี้จะต้องจ่ายหนี้เงินต้นสูงสุดประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะค่อยๆลดลง และในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก 250 ล้านบาทต่อเดือนด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดตามกำหนดในปี 2572
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเกือบ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แต่ในช่วงเดือน มิ.ย. 2568 เกิดภาวะสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้น จนกองทุนฯ ต้องนำเงินไปพยุงราคาดีเซลอีกครั้ง และทำให้รายรับของกองทุนฯ ลดลง จากเดิมคาดการณ์ว่ากองทุนฯ จะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2568 ล่าสุดคาดว่าจะเป็นบวกได้ประมาณเดือน ธ.ค. 2568 นี้ เนื่องจากกองทุนฯ มีรายรับประมาณ 6 พันล้านบาทต่อเดือน ขณะที่เงินกองทุนฯ ปัจจุบันติดลบอยู่ 24,355 ล้านบาท
สำหรับราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 25 ส.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 69.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาเพิ่มขึ้น 0.41 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 63.82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.16 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 67.86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.13 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ด้านค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 25 ส.ค. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 3.26 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.07 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.13 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.17 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 4 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.43 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่างวันที่ 1-25 ส.ค. 2568 อยู่ที่ 2.41 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)