“ส.อ.ท.” เปิดยอดจดทะเบียน “รถอีวี” ใหม่ ก.ค. พุ่ง 1.2 หมื่นคัน โต 46%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ส.ค.68)นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 49,102 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 1.95% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมปีก่อน 5.84% และเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แรงหนุนหลักมาจากยอดขายรถยนต์นั่ง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้มากขึ้น ขณะที่ยอดขายรถกระบะยังคงหดตัวต่อเนื่องกว่า 30 เดือน ล่าสุดขายได้เพียง 11,022 คัน ลดลง 16.3% จากแรงกดดันด้านการอนุมัติสินเชื่อและเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวต่ำ
ทั้งนี้ ช่วงเดือนมกราคม–กรกฎาคม 2568 มียานยนต์ไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสม 81,179 คัน เพิ่มขึ้น 35.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านการส่งออก เดือนกรกฎาคม 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 72,439 คัน ลดลง 17.76% จากเดือนก่อน และลดลง 13.27% จากปีก่อน ปัจจัยสำคัญมาจากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งใช้น้ำมันบางรุ่นเพื่อเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม เดือนนี้ยังมีการส่งออกรถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้ารวม 167 คัน นับเป็นปีประวัติศาสตร์ที่ไทยสามารถส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าได้จริง สะท้อนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและภาคเอกชนที่มุ่งผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ทั้งสันดาปและไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าซึ่งมีนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานแตกต่างกัน
อย่างไรก็ดี ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน รวมถึงการเข้มงวดด้านมาตรฐานความปลอดภัยและประสิทธิภาพพลังงานในหลายประเทศ ทำให้ยอดส่งออกเดือนนี้ลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ ขณะที่การส่งออกเครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ยังคงขยายตัว
มูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 46,853.19 ล้านบาท ลดลง 16.92% จากปีก่อน ด้านยอดสะสม 7 เดือน (มกราคม–กรกฎาคม 2568) ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 531,796 คัน มูลค่า 361,224.05 ล้านบาท ลดลง 11.74% และ 13.97% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567
สำหรับการผลิต เดือนกรกฎาคม 2568 ผลิตรถยนต์รวม 110,616 คัน ลดลง 15.06% จากเดือนมิถุนายน และลดลง 11.39% จากปีก่อน โดยรถยนต์นั่งใช้น้ำมันลดลงแรงสุด 31.80% จากการยุติการผลิตบางรุ่นเพื่อการส่งออก ส่วนรถกระบะก็ลดลงทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก 6.54% และ 8.61% ตามลำดับ ส่งผลให้ยอดผลิตสะสม 7 เดือน (มกราคม–กรกฎาคม 2568) อยู่ที่ 835,331 คัน ลดลง 5.73% จากปีก่อน
นายสุรพงษ์ มองว่า แนวโน้มตลาดยานยนต์ไทยในช่วงที่เหลือของปี น่าจะเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับ 7 เดือนที่ผ่านมา โดยยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สิทธิประโยชน์การลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และการที่ไทยสามารถรักษาอัตราภาษีส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ 19% ซึ่งยังแข่งขันได้กับประเทศคู่แข่ง พร้อมเน้นย้ำว่าการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 และการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีทันสมัย จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
สถิติการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดง (ก.ค.68)
- BEV: จดทะเบียนใหม่ 12,124 คัน เพิ่มขึ้น 45.51% จากปีก่อน ยอดสะสม 7 เดือน 81,179 คัน และยอดสะสมรวม 307,428 คัน
- HEV: จดทะเบียนใหม่ 11,815 คัน ลดลง 0.61% จากปีก่อน ยอดสะสม 7 เดือน 84,128 คัน และยอดสะสมรวม 552,469 คัน
- PHEV: จดทะเบียนใหม่ 1,286 คัน เพิ่มขึ้น 55.69% จากปีก่อน ยอดสะสม 7 เดือน 12,632 คัน และยอดสะสมรวม 75,693 คัน