เวียดนาม vs. ไทย: การไล่กวดแห่งศตวรรษที่ 21
จากการวิเคราะห์ของ ดร.วีระยุทธ กาญจน์ซูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจระบุว่า เวียดนามกำลังเร่งเครื่องแซงไทย ด้วยวิสัยทัศน์และการลงทุนมหาศาลเพื่อเป็น "ประเทศรายได้สูง" ในปี 2045 ขณะที่ไทยยังคงเผชิญความท้าทายในการใช้จ่ายงบประมาณพัฒนาคนอย่างไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
เวียดนาม vs. ไทย: การไล่กวดแห่งศตวรรษที่ 21
แม้ในปัจจุบันเวียดนามจะยังตามหลังไทยในเชิงเศรษฐกิจและรายได้ประชากรต่อหัว แต่การขับเคลื่อนของพวกเขานั้นน่าจับตามองอย่างยิ่ง ผู้กำหนดนโยบายกล้าที่จะยอมรับจุดอ่อนและเดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการตั้งเป้าหมายใหญ่ให้ประเทศเป็น "ประเทศรายได้สูง" ภายในปี 2045 ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตั้งเป้าไว้ที่ 7% ต่อปี
การปฏิรูปนี้ครอบคลุมทั้งการปรับโครงสร้างระบบราชการครั้งใหญ่ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์ มูลค่ากว่า 10% ของ GDP ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ถนนและสนามบิน แต่ยังรวมถึงการสนับสนุน R&D ในอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างเซมิคอนดักเตอร์ การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด และการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ
เวียดนามจริงจังกับการพัฒนาคน
หนึ่งในหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การพัฒนาของเวียดนามคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แม้ปัจจุบันเวียดนามจะมีสัดส่วนแรงงานที่จบการศึกษาในระดับอาชีวะหรือปริญญาตรีน้อยกว่าไทย (13% เทียบกับไทย 21%) แต่พวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนและจับต้องได้ รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าผลิตบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ถึง 50,000 คน ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Samsung และ Marvell เพื่อพัฒนาแรงงานให้พร้อมสำหรับการวิจัยและผลิต
ประเทศไทย: มีงบแต่ไร้ทิศทาง?
ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีงบประมาณสำหรับการพัฒนาบุคลากรปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่กลับขาดความชัดเจนในการนำไปใช้ รายงานระบุว่าในขณะที่เวียดนามเน้นการพัฒนาทักษะที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่ของไทยกลับมุ่งเน้นไปที่โครงการอย่าง "ระบบแฟ้มสะสมทักษะรายบุคคลระดับอุดมศึกษา" ซึ่งยังคงเป็นคำถามถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่า
หากไทยต้องการแข่งขันกับเวียดนามได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องเปลี่ยนจากการพูดคุยในระดับวิสัยทัศน์ มาสู่การวางแผนระดับโครงการอย่างจริงจัง มีการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม เพื่อเปลี่ยนเงินภาษีให้เป็นอนาคตของประเทศอย่างแท้จริง