ยอดเปิด-ปิดโรงงานเปราะบาง 7 เดือนแรกปี 68 พบ 5 อุตสาหกรรมเลิกกิจการพุ่ง
สัญญาณเศรษฐกิจที่น่ากังวล ภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่าสถานการณ์ การเปิด-ปิดกิจการโรงงาน ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) สะท้อนภาพความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนที่มีจำนวนโรงงานปิดกิจการเท่ากับโรงงานเปิดใหม่
ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ประกอบกับความท้าทายใหม่จากนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทยในอนาคตอันใกล้ ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่กำลังจะมาถึง
รายงานข่าวจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ข้อมูลเปรียบเทียบการอนุญาตประกอบ ขยาย และเลิกกิจการโรงงาน เดือนม.ค.-ก.ค. 2568 โดยมีจำนวนโรงงานที่เปิดเทียบจำนวนโรงงานที่ขยายและเลิกกิจการ แบ่งเป็น
- เดือน ม.ค. โรงงานประกอบกิจการใหม่ 147 แห่ง, โรงงานขยายกิจการ 14 แห่ง และโรงงานเลิกกิจการ 42 แห่ง
- เดือน ก.พ. โรงงานประกอบกิจการใหม่ 144 แห่ง, โรงงานขยายกิจการ 22 แห่ง และโรงงานเลิกกิจการ 47 แห่ง
- เดือน มี.ค. โรงงานประกอบกิจการใหม่ 94 แห่ง, โรงงานขยายกิจการ 22 แห่ง และโรงงานเลิกกิจการ 51 แห่ง
- เดือน เม.ย. โรงงานประกอบกิจการใหม่ 117 แห่ง, โรงงานขยายกิจการ 12 แห่ง และโรงงานเลิกกิจการ 82 แห่ง
- เดือน พ.ค. โรงงานประกอบกิจการใหม่ 99 แห่ง, โรงงานขยายกิจการ 14 แห่ง และโรงงานเลิกกิจการ 63 แห่ง
- เดือน มิ.ย. โรงงานประกอบกิจการใหม่ 73 แห่ง, โรงงานขยายกิจการ 20 แห่ง และโรงงานเลิกกิจการ 73 แห่ง
- เดือน ก.ค. โรงงานประกอบกิจการใหม่ 95 แห่ง, โรงงานขยายกิจการ 25 แห่ง และโรงงานเลิกกิจการ 67 แห่ง
จำนวนคนงานประกอบกิจการเทียบคนงานขยายและเลิกกิจการ แบ่งเป็น
- เดือน ม.ค. คนงานประกอบกิจการใหม่ 6,257 คน, คนงานขยายกิจการ 531 คน และงานเลิกกิจการ 1,614 คน
- เดือน ก.พ. คนงานประกอบกิจการใหม่ 5,083 คน, คนงานขยายกิจการ 1,066 คน และงานเลิกกิจการ 1,293 คน
- เดือน มี.ค. คนงานประกอบกิจการใหม่ 3,216 คน, คนงานขยายกิจการ 938 คน และงานเลิกกิจการ 798 คน
- เดือน เม.ย. คนงานประกอบกิจการใหม่ 3,419 คน, คนงานขยายกิจการ 416 คน และงานเลิกกิจการ 1,655 คน
- เดือน พ.ค. คนงานประกอบกิจการใหม่ 2,448 คน, คนงานขยายกิจการ 946 คน และงานเลิกกิจการ 3,523 คน
- เดือน มิ.ย. คนงานประกอบกิจการใหม่ 1,413 คน, คนงานขยายกิจการ 1,133 คน และงานเลิกกิจการ 2,307 คน
- เดือน ก.ค. คนงานประกอบกิจการใหม่ 2,514 คน, คนงานขยายกิจการ 1,668 คน และงานเลิกกิจการ 1,579 คน
จำนวนเงินลงทุนประกอบกิจการเทียบกับเงินลงทุนขยายและเลิกกิจการ แบ่งเป็น
- เดือน ม.ค. เงินลงทุนประกอบกิจการ 18,119.94 ล้านบาท, เงินลงทุนขยายกิจการ 1,499.64 ล้านบาท และเงินลงทุนที่เลิกกิจการ 1,302.74 ล้านบาท
- เดือน ก.พ. เงินลงทุนประกอบกิจการ 22,858.73 ล้านบาท, เงินลงทุนขยายกิจการ 954.42 ล้านบาท และเงินลงทุนที่เลิกกิจการ 1,485.60 ล้านบาท
- เดือน มี.ค. เงินลงทุนประกอบกิจการ 13,552.01 ล้านบาท, เงินลงทุนขยายกิจการ 6,042.53 ล้านบาท และเงินลงทุนที่เลิกกิจการ 902.19 ล้านบาท
- เดือน เม.ย. เงินลงทุนประกอบกิจการ 10,248.99 ล้านบาท, เงินลงทุนขยายกิจการ 2,374.45 ล้านบาท และเงินลงทุนที่เลิกกิจการ 3,549.16 ล้านบาท
- เดือน พ.ค. เงินลงทุนประกอบกิจการ 15,754.51 ล้านบาท, เงินลงทุนขยายกิจการ 1,778.24 ล้านบาท และเงินลงทุนที่เลิกกิจการ 1,043.57 ล้านบาท
- เดือน มิ.ย. เงินลงทุนประกอบกิจการ 2,603.35 ล้านบาท, เงินลงทุนขยายกิจการ 3,403.67 ล้านบาท และเงินลงทุนที่เลิกกิจการ 3,100.27 ล้านบาท
- เดือน ก.ค. เงินลงทุนประกอบกิจการ 9,384.09 ล้านบาท, เงินลงทุนขยายกิจการ 11,790.33 ล้านบาท และเงินลงทุนที่เลิกกิจการ 1,322.44 ล้านบาท
ส่วน 5 อันดับกลุ่มอุตสาหกรรมประกอบกิจการที่มีเงินลงทุนสูงสุดตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค. 2568 แบ่งเป็น
1. กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 16,719.32 ล้านบาท
2. กลุ่มผลิตเครื่องจักรและเครื่องกลซ่อมแซมแม่พิมพ์และเครื่องจักร มูลค่า 8,080.40 ล้านบาท
3. กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร มูลค่า 7,771.22 ล้านบาท
4. กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์โลหะสำหรับใช้ในการก่อสร้างท่อเหล็ก มูลค่า 6,006.16 ล้านบาท
5. กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้นพลาสติก PVC มูลค่า 4,403.80 ล้านบาท
ขณะที่ 5 อันดับกลุ่มอุตสาหกรรมขยายกิจการที่มีเงินลงทุนสูงสุดตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค. 2568 แบ่งเป็น
1. กลุ่มผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์ประกอบรถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก และทำชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ มูลค่า 9,381.87 ล้านบาท
2. กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ผลิตอาหารสำเร็จรูปจากสัตว์น้ำ เครื่องดื่มจากผัก พืช หรือผลไม้และบรรจุกระป๋อง มูลค่า 7,574.24 ล้านบาท
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ ทำภาชนะบรรจุผลิตตบแต่ง ดัดแปลง หรือซ่อมแซม เครื่องเรือน หรือเครื่องตบแต่งภายในอาคาร มูลค่า 5,219.72 ล้านบาท
4. กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผลิตเครื่องดื่ม มูลค่า 708.12 ล้านบาท
5. กลุ่มการพิมพ์ การเย็บเล่ม ทำปก หรือการทำแม่เหล็กการพิมพ์ เย็บเล่ม ทำปกและตบแต่งสิ่งพิมพ์ มูลค่า 562.37 ล้านบาท
ส่วน 5 อันดับกลุ่มอุตสาหกรรมเลิกกิจการที่มีเงินลงทุนสูงสุดตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค. 2568 แบ่งเป็น
1. กลุ่มผลิตเครื่องจักรและเครื่องกล ผลิตตู้เย็นและอุปกรณ์เสริม มูลค่า 1,727.81 ล้านบาท
2. กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี การทำวัสดุสังเคราะห์สำหรับซักฟอก เช่น สบู่ แชมพู ผลิตสารป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือสัตว์ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยชีวภาพ มูลค่า 1,371.65 ล้านบาท
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์โลหะสำหรับใช้ในการก่อสร้าง ตัดหรือม้วนเหล็กแผ่น มูลค่า 1,365.89 ล้านบาท
4. กลุ่มผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์ ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ซ่อมรถยนต์ มูลค่า 1,272.60 ล้านบาท
5. กลุ่มแปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตแผ่นปาร์ติเกิ้ล แปรรูปไม้ยางพารา มูลค่า 922.33 ล้านบาท