งานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ปี 2568 (World Tapioca Conference 2025)
THAILAND TAPIOCA NEXT : GO GLOBAL GO TOGETHER “ก้าวสู่ตลาดโลก ด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืน”
ใต้ผืนดินกว่า 8 ล้านไร่ “มันสำปะหลัง” ไม่ได้เป็นเพียงพืชไร่ธรรมดา หากแต่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่หยั่งรากลึกอยู่ในวิถีชีวิตและระบบเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรกว่า 740,000 ครัวเรือน และนำรายได้เข้าสู่ประเทศปีละกว่าแสนล้านบาท ด้วยศักยภาพด้านการผลิตและคุณภาพมาตรฐานในระดับสากลของมันสำปะหลังไทย ทำให้ประเทศไทยครองความเป็นผู้นำในการส่งออกมันสำปะหลังอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนาน และมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมมันสำปะหลังโลก
เบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวมาจากการดำเนินงานอย่างมุ่งมั่นของ “กรมการค้าต่างประเทศ” ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนมันสำปะหลังไทยสู่เวทีการค้าโลก โดยยึดแนวนโยบายรัฐบาล และนโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งเน้นการ “เพิ่มโอกาสทางการค้า เปิดตลาดโลก สร้างโอกาสไทย” รวมทั้ง แนวคิด “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่ได้รับการผลักดันโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำให้สามารถแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้อย่างยั่งยืน ไม่เพียงสะท้อนถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทย แต่ยังแสดงถึงความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทุกภาคส่วน ในการเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตสู่ตลาดโลกอย่างเข้มแข็งต่อไป
ปัจจุบันอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้านทั้งจากภายในประเทศและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการระบาดของโรคพืช ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผลผลิตต่อไร่ยังอยู่ในระดับต่ำ และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังต้องรับมือกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีการพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตและการค้าที่เข้มแข็งขึ้น รวมถึงต้องเผชิญกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน” และ “ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม” มากขึ้น ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยในภาพรวม ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานและยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยให้พร้อมรับมือกับพลวัตทางเศรษฐกิจและการค้าโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จึงได้เดินหน้าจัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ปี 2568 (World Tapioca Conference 2025) ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด THAILAND TAPIOCA NEXT : GO GLOBAL GO TOGETHER “ก้าวสู่ตลาดโลก ด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืน” เพื่อตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านการผลิตและการค้าสินค้ามันสำปะหลังของโลก พร้อมทั้งประกาศจุดยืนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทย จาก “การส่งออกวัตถุดิบ” สู่ “การสร้างคุณค่า” ผ่านการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการผลิตที่ยั่งยืน เพื่อให้ไทยครองความเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต การแปรรูป การค้า และเทคโนโลยีมันสำปะหลังของโลก
การจัดงานในครั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังทั้งในและต่างประเทศทั่วโลกกว่า 1,000 ราย เข้าร่วมงาน อาทิ ผู้แทนหน่วยงานรัฐบาลต่างประเทศ ผู้นำเข้าและผู้ส่งออก หน่วยงานภาครัฐและเอกชน นักวิจัย และเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และแนวคิดใหม่ๆ ที่จะช่วยต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย พร้อมทั้งสร้างโอกาสในการเจรจาการค้าระหว่างผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าจากทั่วโลก โดยมีกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ การเสวนาวิชาการโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ พิธีลงนามสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังระหว่างผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าต่างชาติ กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) การจัดนิทรรศการเพื่อนำเสนอศักยภาพของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งการจัดประชุมกลุ่มย่อย เพื่อหารือแนวทางเฉพาะด้านในเชิงลึกในประเด็นด้านการยกระดับความร่วมมือการใช้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทย รวมถึงการแปรรูปมันสำปะหลังไทยสู่การเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ซึ่งในปีนี้ นอกจากจะให้ความสำคัญกับกลุ่มผลิตภัณฑ์มันเส้น/มันอัดเม็ด และแป้งมันสำปะหลังแล้ว ยังมุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่แปรรูปมาจากมันสำปะหลังด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเป็นมิติใหม่ของการเพิ่มมูลค่าและการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้ามันสำปะหลังไทยในตลาดโลกอย่างยั่งยืน
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมงานได้ที่ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม ในวันที่ 30 ก.ค. นี้ ขอเชิญทุกท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนมันสำปะหลังไทยสู่การเป็น “พืชเศรษฐกิจแห่งอนาคต” ไปด้วยกัน