สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2568
สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2568
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -29 ก.ค. 68 8:47: น.
*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 66.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.55 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.4%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 70.04 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.60 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.3%
ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2% ในวันจันทร์ (28 ก.ค.) หลังการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) รวมถึงการประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะร่นระยะเวลาเส้นตายให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครน มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับการคว่ำบาตร
*** คณะกรรมการ OPEC+ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิบัติตามข้อตกลงการผลิตน้ำมันอย่างเต็มที่ ก่อนการประชุมแยกต่างหากของสมาชิก 8 ประเทศ เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันสำหรับเดือนก.ย. โดยคณะกรรมการร่วมตรวจสอบในระดับรัฐมนตรี(Joint Ministerial Monitoring Committee - JMMC) ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีพลังงานระดับสูงจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (Organization of the Petroleum Exporting Countries - OPEC) และพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย ได้จัดการประชุมออนไลน์เพื่อหารือสั้น ๆ โดย OPEC ระบุในแถลงการณ์ว่า คณะกรรมการย้ำถึงความสำคัญสูงสุดของการบรรลุการปฏิบัติตามข้อตกลงและมาตรการชดเชยอย่างเต็มที่
*** สหรัฐฯ และ EU บรรลุข้อตกลงกรอบการค้าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 ก.ค.) ซึ่งจะมีการเรียกเก็บภาษี 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของ EU ที่นำเข้าไปยังสหรัฐฯ โดยข้อตกลงนี้รวมถึงคำมั่นสัญญาของ EU ที่จะใช้จ่าย 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในการซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เป็นระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าข้อตกลงดังกล่าว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนทิศทางการส่งออกพลังงานส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ไปยังยุโรป และ EU มีอำนาจควบคุมการนำเข้าพลังงานของบริษัทต่าง ๆ ในยุโรปค่อนข้างน้อย
*** หุ้นบริษัทผู้พัฒนาโครงการก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในสหรัฐฯ เป็นผู้นำในการปรับตัวสูงขึ้นของหุ้นบริษัทพลังงานสหรัฐฯ หลังสหภาพยุโรป (EU) ให้คำมั่นว่าจะสั่งซื้อพลังงานเชิงกลยุทธ์มูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่ โดยหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ที่ได้รับอานิสงส์อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย NextDecade, Venture Global และ Cheniere Energy โดยราคาหุ้นต่างพุ่งขึ้นในช่วง 3.5 % จนถึงเกือบ 7%
*** สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงกรอบการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของ EU ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของอัตราที่เคยขู่ไว้ ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงสงครามการค้าครั้งใหญ่ระหว่าง 2 พันธมิตรที่ครองสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของการค้าโลก โดยทรัมป์กล่าวว่า นี่เป็นข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมยกย่องแผนของ EU ที่จะลงทุนประมาณ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสหรัฐฯ และเพิ่มการซื้อพลังงานและยุทโธปกรณ์ทางทหารจากสหรัฐฯ อย่างมาก
*** ชาติต่าง ๆ ในยุโรป กล่าวปกป้องข้อตกลงทางการค้าที่บรรลุกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลให้สหภาพยุโรป (EU) ยอมรับภาษี 15% สำหรับสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ไปยังสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้าบางประเภทของยุโรปลงเหลือ 0% โดยนางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ยกย่องข้อตกลงนี้ว่า จะนำมาซึ่งเสถียรภาพและสามารถคาดการณ์แนวโน้มสำหรับภาคธุรกิจและผู้บริโภคได้ แม้ว่า EU จะทราบดีว่าข้อตกลงนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯ แต่ฟอน เดอร์ เลเยน ก็เรียกร้องให้ผู้สื่อข่าว อย่าลืมว่าเรามาจากไหน โดยอ้างถึงอัตราภาษีที่ทรัมป์เคยขู่ไว้ ซึ่งสูงถึง 50%
อัตราภาษีที่ลดลงนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับประเทศสมาชิกที่พึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยอรมนี ซึ่งส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 34,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
*** นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับสหรัฐฯ อาจสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมยาคิดเป็นมูลค่าระหว่าง 13,000 ล้าน - 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากยาที่มีชื่อทางการค้าจะต้องถูกเก็บภาษีนำเข้า 15% โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ราคายาสำหรับผู้บริโภคสูงขึ้น หากบริษัทยาไม่ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบจากภาษีดังกล่าว
ในอดีตผลิตภัณฑ์ยาเคยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ซึ่งยาถือเป็นการส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดของยุโรปไปยังสหรัฐฯ และ EU คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของการนำเข้ายาทั้งหมดของสหรัฐฯ
*** มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ดูเหมือนจะได้รับการกำหนดในอัตราที่ลดลงเล็กน้อยจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยขู่ไว้เมื่อเดือนเม.ย. แต่ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้ก็เพียงพอที่จะช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในวอลล์สตรีทลงได้บ้าง โดยนักเศรษฐศาสตร์กังวลว่ามาตรการภาษีเชิงรุกที่ทรัมป์ประกาศใน วันปลดปล่อย เมื่อวันที่ 2 เม.ย. จะทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรงหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย
แต่การคาดการณ์ถึงความเสียหายจากภาษีได้ลดลงนับตั้งแต่นั้นมา ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์อ้างถึงปัจจัยหนุนหลายประการ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่ง ผลกระทบของภาษีต่อเงินเฟ้อในระยะยาวที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และภาวะการเงินที่ผ่อนคลายลงโดยรวม
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวว่าจะร่นระยะเวลาเส้นตายที่ให้กับวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียเพื่อให้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครน มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับบทลงโทษทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซียให้ยุติการสู้รบ ผมจะกำหนดเส้นตายใหม่ประมาณ 10 หรือ 12 วันนับจากวันนี้ ผมจะประกาศน่าจะคืนนี้หรือพรุ่งนี้ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรอ หากคุณรู้ว่าคำตอบคืออะไร พร้อมแสดงความไม่พอใจที่ปูตินปฏิเสธข้อเรียกร้องให้หยุดยิงก่อนหน้านี้
*** เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และจีน เสร็จสิ้นการเจรจาวันแรกจากกำหนดการ 2 วัน โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายเวลาการพักรบเรื่องภาษีออกไปจากเส้นตายกลางเดือนส.ค. และหาทางรักษาสายสัมพันธ์ทางการค้า ในขณะที่ยังคงปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยรองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง ของจีน และรัฐมนตรีคลังสกอตต์ เบสเซนต์ของสหรัฐฯ นำคณะผู้แทนของตนเข้าประชุม ซึ่งเป็นการเจรจารอบที่ 3 ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน โดยวาระการประชุมประกอบด้วยการให้เวลามากขึ้นสำหรับการเจรจาที่มีความสำคัญสูงในประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่การเก็บภาษีของสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงกับการค้าเฟนทานิล ไปจนถึงการที่จีนซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่านที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร
*** ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ปฏิเสธความพยายามที่จะฟื้นฟูการยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุราคาถูกจากจีนเป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นมาตรการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกไปในปีนี้ โดยคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ ในข้อพิพาทเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า การยกเว้นภาษี de minimis ถือเป็นคำสั่งที่เป็นผลดีต่อรัฐบาลทรัมป์ครั้งล่าสุด ในการต่อสู้กับการฟ้องร้องหลายคดีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเขาในการปรับขึ้นภาษีทั่วโลก
*** การส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ อาจลดลงไปประมาณ 485,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2027 อ้างอิงจากแบบจำลองจำลองภาษีที่คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของการค้าโลก โดยการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ได้กลับมาเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาที่กรุงสตอกโฮล์ม ซึ่งจากการที่จีนมีบทบาทสำคัญในการค้ากับสหรัฐฯ การลดลงดังกล่าวจึงมีแนวโน้มมากกว่ายอดรวมการส่งออกทั่วโลกไปยังสหรัฐฯ เมื่อนำทุกประเทศมาพิจารณาในแบบจำลอง โดยการคาดการณ์นี้ อิงจากอัตราภาษีล่าสุดที่บังคับใช้ระหว่างสหรัฐฯ และจีน และการปรับโครงสร้างการค้าโลกที่อาจเกิดขึ้น เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยปัจจุบัน สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรวม 51% ในขณะที่สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีนเผชิญภาษี 32.6% โดยสหรัฐฯ เคยขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตราที่สูงขึ้นมาก หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในวันที่ 12 ส.ค. ซึ่งอาจทำให้อัตราภาษีสูงถึง 145%
ข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่ายอดรวมการนำเข้าจากจีนในปี 2024 อยู่ที่ 438,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
*** จีน ยกเลิกข้อจำกัดการมีบุตรเพียงคนเดียวสำหรับครอบครัวส่วนใหญ่ เพื่อส่งเสริมการเพิ่มขึ้นของประชากรที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยนโยบายจำกัดการมีบุตรนี้ ถูกริเริ่มโดยเติ้ง เสี่ยวผิง ในปี 1979 เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรที่ขาดแคลนของประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยยากจน แต่ปัจจุบันกลับคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากจำนวนประชากรวัยทำงานหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษเมื่อปีที่แล้ว และคาดการณ์ว่ากลุ่มประชากรผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ จีนยังประกาศจะเริ่มมอบเงินอุดหนุนค่าเลี้ยงดูบุตรทั่วประเทศ ซึ่งเป็นความพยายามล่าสุดในการกระตุ้นอัตราการเกิด หลังจากที่ลดลงอย่างน่าเป็นห่วงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยรัฐบาลจะใช้จ่ายเงิน 3,600 หยวน (ประมาณ 502 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปีต่อเด็ก 1 คน สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ซึ่งความช่วยเหลือนี้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ปีนี้ และไม่จำกัดว่าจะเป็นบุตรคนแรก คนที่ 2 หรือคนที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจคู่รักหนุ่มสาวที่กังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่สูงขึ้น ซึ่งนโยบายนี้คาดว่าจะสร้างประโยชน์ให้กับครอบครัวมากกว่า 20 ล้านครอบครัวในแต่ละปี หลังจีนเคยเสนอการลดหย่อนภาษีมาก่อน และกำลังดำเนินการเพื่อให้บริการดูแลเด็กในเวลากลางวันที่มีราคาไม่แพง
*** บริษัทจีนกำลังพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ฉลาดขึ้นและมีต้นทุนการใช้งานถูกลงเรื่อย ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าสำคัญที่ DeepSeek เคยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดมาแล้ว โดย Z.ai (เดิมชื่อ Zhipu) บริษัทสตาร์ทอัพ ได้ประกาศว่าโมเดล AI ใหม่ GLM-4.5 ของบริษัท จะมีต้นทุนการใช้งานที่ถูกกว่า DeepSeek โดย Z.ai ระบุว่า GLM-4.5 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ AI แบบ Agentic ซึ่งแตกต่างจากหลักการของโมเดล AI ทั่วไปในปัจจุบัน นั่นหมายความว่าโมเดลนี้จะสามารถแบ่งงานที่ได้รับมอบหมายออกเป็นงานย่อย ๆ โดยอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถทำงานได้แม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ โมเดลใหม่นี้ยังเป็นแบบ โอเพ่นซอร์ส ซึ่งหมายความว่านักพัฒนาสามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี
*** ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอาจจะรอดพ้นจากการเรียกเก็บภาษีที่รุนแรงของสหรัฐฯ แต่การผ่อนปรนครั้งนี้ กลับสร้างความสบายใจได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังเข้ามาบ่อนเซาะความได้เปรียบในตลาดโลกที่ญี่ปุ่นครองความเป็นผู้นำมาอย่างยาวนาน ประกอบกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ยังคงมีอยู่ภายในประเทศ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศลดภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นเหลือ 15% จากเดิม 25%
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเตือนว่า สถานการณ์ยังไม่พ้นวิกฤต แม้ว่าข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ถือเป็นความโล่งใจอย่างแน่นอน เนื่องจากช่วยสร้างความแน่นอนว่าภาษีของสหรัฐฯ สำหรับรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นจะไม่เพิ่มขึ้นถึงระดับที่เคยขู่ไว้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเองก็ยังลังเลที่จะเรียกว่าเป็นข่าวดี เพราะภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ 15% ยังคงสูงกว่าจุดที่ญี่ปุ่นเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญ และ 15% เป็นอัตราที่สูงกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดไว้
*** Berkshire Hathaway เตรียมขายหุ้นประมาณ 1 ใน 3 ของเงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน VeriSign ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตและผู้จดทะเบียนชื่อโดเมนที่กลุ่มบริษัทของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้าลงทุนมาตั้งแต่ปี 2012 โดย VeriSign ระบุว่าการขายหุ้นจำนวน 4.3 ล้านหุ้นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของ Berkshire ให้ต่ำกว่า 10% ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ก่อให้เกิดภาระผูกพันด้านกฎระเบียบ ทั้งนี้ หุ้น VeriSign ลดลง 6% มาอยู่ที่ 287.77 ดอลลาร์สหรัฐ
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ