เปิดประตูฟ้องแพ่ง ช่องทางครอบครัว’เมย’สู้ต่อ ทวงความยุติธรรม
ผลคดี“เสียชีวิต”สิ้นสุด แต่ด้วยบทลงโทษสถานเบา กลายเป็นที่สงสัย ครอบครัวยังสามารถต่อสู้ทางกฎหมายอย่างไรได้บ้าง “ทีมข่าวอาชญากรรม”สอบถามความเห็นจาก นายวีรศักดิ์ โชติวานิช รองเลขาธิการ และรองโฆษกนายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุ แม้คดีอาญาจะสิ้นสุดเพราะผู้กระทำผิดอยู่ในอำนาจศาลทหาร และศาลได้พิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย โดยยืนตามศาลอุทธรณ์และรอการลงโทษจำคุก เนื่องจากเห็นว่าไม่น่าจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ต้องอธิบายว่าในกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าศาลพลเรือน หรือศาลทหาร ต่างยึดหลักสากลคือ มีขั้นตอนพิจารณาคดีเป็นลำดับ ได้แก่ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เมื่อคดีใดมีคำพิพากษาจากศาลฎีกาแล้ว ถือว่าคดีนั้น“ถึงที่สุด” ไม่สามารถนำเรื่องเดิมกลับมาฟ้องใหม่ ไม่ว่าศาลเดิมหรือศาลอื่น
คดีเสียชีวิตของเมยมีคำพิพากษาชั้นศาลฎีกาแล้ว หมายความว่าความผิดทางอาญาสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ยื่นฟ้องใหม่ในข้อหาเดียวกันไม่ได้อีก แม้ภายหลังจะปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าเหตุการณ์นั้นอาจร้ายแรงกว่าที่เคยวินิจฉัยไว้ เช่น หากมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการเจตนาฆ่า ไม่ใช่เพียงทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตายก็ไม่สามารถฟ้องซ้ำอีกในข้อหาใหม่ได้ เพราะการกระทำนั้นได้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของศาล และมีคำตัดสินถึงที่สุดแล้ว
ข้อยกเว้นที่อาจเปิดทางฟ้องใหม่ได้คือ กรณีฟ้องผิดตัว กล่าวคือจำเลยในคดีแรกไม่ใช่ผู้กระทำผิดตัวจริง หากมีหลักฐานชัดเจนก็สามารถฟ้องผู้กระทำผิดตัวจริงภายหลังได้ แต่ไม่ใช่การฟ้องจำเลยเดิมในข้อหาหนักขึ้น
ทั้งนี้ ยังไม่สามารถนำคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารไปฟ้องในศาลพลเรือน เพราะจำเลยอยู่ในเขตอำนาจของศาลทหารโดยเฉพาะ การพิจารณาในศาลพลเรือนจึงไม่มีผลในทางกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนคดีแพ่ง ครอบครัวยังสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในศาลพลเรือนได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือเป็นการละเมิด และศาลทหารไม่มีอำนาจพิจารณาคดีแพ่ง จึงต้องแยกฟ้องเป็นคดีใหม่ในศาลพลเรือน ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบในทางแพ่ง นอกเหนือจำเลยในคดีอาญาที่ศาลตัดสินไปแล้ว ยังต้องพิจารณาจากรายละเอียดของคำพิพากษาฉบับเต็ม ซึ่งยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยสู่สาธารณะด้วย
ส่วนประเด็นเกี่ยวข้องอื่น ๆที่ยังมีข้อสงสัย เช่น อวัยวะที่หายไป หรือการทำหน้าที่ในกระบวนการที่อาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระทำโดยมิชอบ ครอบครัวสามารถต่อสู้ได้ หากเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ใช่ทหาร หรือไม่อยู่ภายใต้บังคับของศาลทหารสามารถฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้ ซึ่งเป็นกรณีที่คล้ายกับคดีการเปลี่ยนแปลงความเร็วของทายาทตระกูลดัง ที่มีการแยกสำนวนการสอบสวนเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
“การหายไปของอวัยวะ หากแพทย์ที่เกี่ยวข้องเป็นแพทย์ของเอกชน การฟ้องร้องจะอยู่ในประเด็นการละเมิดทางแพ่ง แต่หากเป็นแพทย์ของรพ.รัฐ อาจต้องรับผิดชอบทางอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นจรรยาบรรณวิชาชีพที่สามารถดำเนินการตรวจสอบได้ผ่านแพทยสภา เหมือนคดีชั้น 14 ขณะที่การทำงานของพนักงานสอบสวน หากพบมีการกระทำที่ไม่อยู่ในกรอบแห่งหน้าที่ อาจเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เช่นกัน
สำหรับประเด็นฝ่ายผู้เสียหายไม่สามารถแต่งตั้งทนายความและเข้าเป็นโจทก์ร่วมในศาลทหาร นายวีรศักดิ์ ชี้แจงว่า จำเลยในศาลทหารมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือทางกฎหมายและสามารถจัดหาทนายความได้เอง หรือหากไม่มีกำลังทรัพย์ ศาลทหารก็ต้องจัดหาให้ ปัจจุบันกรมพระธรรมนูญจัดตั้งกองทนายความ เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่เป็นทหาร
อย่างไรก็ตาม ในส่วนผู้เสียหาย หรือครอบครัวผู้เสียชีวิตนั้น กฎหมายของศาลทหารไม่ได้เปิดช่องให้สามารถร้องขอเป็นโจทก์ร่วม หรือแต่งตั้งทนายความเข้าไปดูแลสิทธิได้เหมือนกับในศาลพลเรือน ซึ่งเป็น“ความเหลื่อมล้ำ”ที่เห็นชัดเจน เนื่องจากในศาลพลเรือน หากผู้เสียหายแท้จริงเสียชีวิต กฎหมายจะเปิดโอกาสให้ผู้แทนโดยชอบธรรม เช่น บิดา มารดา บุตร ใช้สิทธิ์ฟ้องคดีเองได้ แม้พนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้องก็ตาม
นายวีรศักดิ์ ยังเสนอปมเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความยุติธรรมระหว่างศาลทหารกับศาลพลเรือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสังคมไทยที่ปัจจุบันเน้นความเสมอภาค ต้องทำระบบให้ตอบข้อสงสัยสังคมที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมในศาลทหาร เนื่องจากโครงสร้างการทำงานที่ต่างจากศาลพลเรือนที่มีสามเสาหลัก แยกบทบาทหน้าที่จากกันชัดเจน ได้แก่ ศาล(ตุลาการ) อัยการ(โจทก์) และทนายความ(จำเลย)
แต่ในศาลทหาร ทั้งตุลาการทหาร อัยการทหาร และทนายความฝ่ายจำเลย ต่างมีต้นทางมาจากนายทหารพระธรรมนูญ ซึ่งทำให้สังคมคลางแคลงใจว่ากระบวนการอาจมีการช่วยเหลือกันหรือไม่ ทั้งนี้ หลักการทำงานของศาลทหารและศาลพลเรือนเหมือนกันคือ ตุลาการศาลทหาร หรือตุลาการในศาลพลเรือนต้องผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม อะไรผิดก็คือผิด อะไรถูกก็คือถูก ต่างก็ทำหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย
ความแตกต่างมีเพียงกฎหมายที่นำมาใช้ในศาลทหาร มีมากกว่ากฎหมายที่ใช้ในศาลพลเรือน โดยนอกจากประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ยังมีเรื่องวินัยทหารและกฎระเบียบอื่น เหล่านี้เป็นประเด็นที่กรมพระธรรมนูญ ควรทำความเข้าใจกับสังคม เพื่อความโปร่งใสและลดความคลางแคลงใจที่อาจเกิดขึ้น.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน