เริ่มแล้ว ตร. ใช้ ใบสั่งจราจร รูปแบบใหม่ เชื่อมระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ เริ่ม 4 ส.ค. นี้
ใครใช้รถอาจจะต้องรู้ไว้นะว่า ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เริ่มใช้ "ใบสั่งจราจร" รูปแบบใหม่ทั่วประเทศ ซึ่งไม่ใช่แค่การเปลี่ยนกระดาษ แต่เป็นการยกเครื่องระบบการจัดการข้อมูลครั้งสำคัญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเชื่อมต่อกับระบบออนไลน์แบบครบวงจร
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นการอัปเกรดกฎหมายให้ทันสมัย และใบสั่งรูปแบบใหม่นี้คือเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนระบบดังกล่าว
ใบสั่งรูปแบบใหม่เป็นอย่างไร
สำหรับใบสั่งใหม่มี 3 รูปแบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับการใช้งานในทุกสถานการณ์ แต่หัวใจสำคัญคือการนำข้อมูลเข้าสู่ "ระบบสารสนเทศกลาง"
แบบกระดาษ (สำหรับติดหน้ารถ/ให้ผู้ขับขี่): แม้จะยังเป็นกระดาษ แต่เบื้องหลังนั้นเชื่อมต่อกับระบบดิจิทัล โดยจะมีสำเนา 4 ส่วน ซึ่ง แผ่นที่สอง (สีเหลือง) คือหัวใจสำคัญของการเชื่อมระบบ เพราะจะถูกส่งไปบันทึกข้อมูลใบสั่งในระบบคอมพิวเตอร์กลางทันที ทำให้ข้อมูลเป็นดิจิทัลและสามารถตรวจสอบได้จากส่วนกลาง
แบบส่งไปรษณีย์: สำหรับกรณีการตรวจจับโดยกล้องอัตโนมัติ ข้อมูลจะถูกพิมพ์และจัดส่งทางไปรษณีย์ พร้อมสำเนาที่ถูกเก็บในระบบดิจิทัลเพื่อเป็นหลักฐาน
แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Ticket): นี่คือรูปแบบที่น่าจับตามองที่สุดในมุมมองไอที เป็นการออกใบสั่งผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งข้อมูลจะถูกส่งเข้าระบบกลางแบบเรียลไทม์ ลดการใช้กระดาษ ลดขั้นตอน และเพิ่มความแม่นยำสูงสุด ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็น Smart Police อย่างแท้จริง
ไม่ใช่แค่ใบสั่ง แต่คือ "ระบบข้อมูลใหม่"
เป้าหมายหลักของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการสร้าง Centralized Database สำหรับข้อมูลใบสั่งจราจรทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีในหลายมิติ:
ตรวจสอบง่าย: ประชาชนสามารถตรวจสอบใบสั่งของตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกขึ้น
เชื่อมโยงข้อมูล: สามารถเชื่อมต่อกับหน่วยงานอื่น เช่น กรมการขนส่งทางบก เพื่อบังคับใช้มาตรการตัดคะแนนความประพฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดข้อโต้แย้ง: ข้อมูลที่เป็นดิจิทัลและตรวจสอบได้จากส่วนกลางช่วยลดปัญหาและเพิ่มความโปร่งใส
รู้จัก "ปรับเป็นพินัย" เมื่อกฎหมายถูกอัปเกรดให้ไม่ใช่คดีอาญา
สิ่งที่มาพร้อมกับใบสั่งใหม่คือแนวคิดทางกฎหมายที่เรียกว่า "การปรับเป็นพินัย" โดยเป็นเรื่องที่ต้องรู้ เพราะมันคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่
คิดง่ายๆ คือเปลี่ยนจาก "โทษอาญา" ในความผิดจราจรเล็กน้อย (เช่น จอดในที่ห้ามจอด) มาเป็น "ค่าปรับทางบริหาร" ที่จ่ายแล้วจบ โดยมีลักษณะสำคัญคือ
ไม่เป็นคดีอาญา: ไม่มีการบันทึกประวัติอาชญากรรม ทำให้ผู้กระทำผิดไม่เสียประวัติ
เน้นการจ่ายค่าปรับ: มุ่งให้เกิดการชำระค่าปรับเพื่อยุติเรื่อง แทนการดำเนินคดีที่ซับซ้อน
มีความยืดหยุ่น: สามารถพิจารณาค่าปรับตามความเหมาะสมและฐานะทางเศรษฐกิจได้
ดังนั้นการปรับโฉมใบสั่งจราจรในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับกฎหมายจราจร ในอนาคตเราอาจได้เห็นการพัฒนาต่อยอด เช่น ระบบชำระค่าปรับออนไลน์เต็มรูปแบบ, การแจ้งเตือนใบสั่งผ่านแอปพลิเคชัน หรือแม้กระทั่งการใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการจราจรเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับทั้งการบังคับใช้กฎหมายและความสะดวกสบายของประชาชนไปพร้อมกัน